ยุทธการ ตีโอบสังฆมณฑล !!! ตอน " ไล่พระป่า ด่าพระเมือง "
ช่วงไล่พระป่า (แบบที่ 2 ขจัดพระธุดงค์ )
ตอนที่แล้วว่าด้วย ทุบวัด วันนี้ต่อด้วย "ขจัดพระธุดงค์"
ขอย้ำ การไล่พระป่า มี 3 แบบ
1. ทุบวัด (เป้าหมายทุบวัดที่อยู่ในเขตอุทยานกว่า 6,000 แห่ง)
2. ขจัดพระธุดงค์ (ออกจากป่า ให้ไปอยู่วัดในเมือง)
3. ส่งเข้ากรง (ให้ติดคุกด้วยวิธีการถวายยาบ้า ไปกับอาหาร/น้ำปานะ ให้พระฉัน)
“ ขจัดพระธุดงค์ " (อ่านให้ถึงตอนท้าย จะเล่าเรื่อง และวิธีการไล่พระธุดงค์ให้หมดจากป่า)
เหมือนเขาทำการบ้านมาอย่างดี ว่าการจะทำลายพระพุทธศาสนาให้สิ้นซากไปจากประเทศไทย ต้องระดมทำทุกอย่าง และเข้าใจดีว่าสิ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้นานทุกวันนี้ เกิดมาจากพระนักปฏิบัติ
พระนักปฏิบัตินั้น ยามเมื่อมีกำลังวังชา ท่านก็จะถือธุดงค์วัตร ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเกิดพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ชื่อดังมากมาย อาทิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั่น หลวงปู่แหวน หลวงตามหาบัว เป็นต้น
พ่อแม่ครูบาอาจารย์เหล่านี้ ท่านจะเดินธุดงค์ ในป่าลึกบ้าง มาอาศัยอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านต่างๆบ้าง
เมื่อท่านชราภาพมากขึ้น ท่านก็มักจะตั้งสำนักปฏิบัติธรรมตามพื้นที่ต่างๆ ก็จะเน้นอยู่บนเขาบ้าง ในป่าบ้าง ป่าทั่วไปบ้าง ซึ่งในอดีต ก็ไม่เคยมีการไล่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เหล่านี้มาก่อนเลย.
พ่อแม่ครูบาอาจารย์เหล่านี้ ได้สร้างพระนักปฏิบัติอย่างมากมาย สร้างคุณประโยชน์ทั้งต่อพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ จนเหลือจะคณานับ.
ผู้มุ่งร้าย เขาก็เห็นว่า พระป่า วัดป่า พระธุดงค์ คือ จุดแข็งของพระพุทธศาสนา !!
เขาจึงฉวยโอกาส !?.
ใช้กฎหมาย ใช้อำนาจที่อยู่ในมือบ้าง ใช้ผ่านบุคคลอื่นบ้าง ทำลายจุดแข็งของพระพุทธศาสนา ด้วยวิธีคือ องค์ไหนเดินธุดงค์ ก็ไล่ให้ออกจากป่า องค์ไหนตั้งสำนักปฏิบัติธรรมในป่า ก็อาศัยกฎหมายจัดการ ส่วนสำนักไหนไม่ผิดกฎหมาย ก็ส่งคนไปดำเนินการอย่างอื่น
เล่ามายาว เพื่อให้เห็นภาพว่า เขาทำไปทำไม ???
ผมขอเล่าประสบการณ์ตรง ที่ผมได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของผมองค์หนึ่ง.
ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ที่ผ่านมา ผมและเพื่อน ขึ้นไปปฏิบัติธรรมกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่เทือกเขาภูพาน 8 วัน ท่านจับพวกผมแยกไปปฏิบัติธรรมอยู่ห่างกันมาก อยู่คนละถ้ำ ห่างกันมาก
ท่านสั่งให้ผมอยู่ถ้ำที่งูอาศัยอยู่มาก ท่านถามว่าผมกล้าอยู่ไหม ผมก็ตอบว่า ถ้าท่านรับรองความปลอดภัยผมก็กล้าครับ ท่านบอก ไม่มีอะไรหรอก ถ้าเจริญสติปัฏฐานดี ก็ปลอดภัย แต่ถ้าเจริญสติไม่ได้ ก็ไม่แน่ ผมจึงรับปาก และก็ไม่มีอะไรจริงๆ
อยู่ได้จนเกือบครบกำหนด วันหนึ่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่าน กล่าวว่า ..
"โยม เจอกันครั้งหน้า โยมอาจไม่เห็นอาตมา อยู่ในชุดนี้แล้วนะ" เราตกใจ ว่าทำไมท่านกล่าวเช่นนั้น!
ท่านได้เล่าประสบการณ์ให้ฟัง ว่า ในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ท่านผจญอะไรมาบ้าง ท่านเล่าว่า
" ทั้งอาตมา และเพื่อนสหธรรมิก ตอนนี้ล้วนโดนกันถ้วนหน้า เลยนะโยม คือมันเป็นอย่างนี้ "
“ วันหนึ่ง อาตมาเดินธุดงค์ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งตอนใกล้ค่ำ ก็ปักกลดในทำเลไม่ห่างจากบ้านคนเท่าไหร่นัก เพื่อสะดวกต่อการไปโปรดญาติโยม พอตอนเช้าอาตมาก็ไปบิณฑบาต ตามปกติวิสัย บิณฑบาตเสร็จก็กลับมาที่กลด ขณะทำภาระกิจไม่ทันเสร็จ ก็มีคนมาหาท่านที่กลด โดยอ้างว่าเป็นผู้ดูแลที่นี่ “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ท่านมาทำอะไรในป่านี้ “
ท่านตอบว่า “ อาตมา มาธุดงค์ “
ผู้อ้างว่าดูแล “ มาธุดงค์ หาอะไรในป่านี้ ทำไมไม่ไปอยู่ในเมือง หรือวัดร้างตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปอยู่ “
ท่านตอบว่า “ อาตมา ชอบปลีกวิเวก จึงมาธุดงค์ในป่า “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นพระจริงหรือพระปลอม มีหลักฐานไหม”
ท่านก็ส่งใบสุทธิให้ตรวจสอบ.
ผู้อ้างว่าดูแล “ ถึงเป็นพระจริง ก็ไว้ใจไม่ได้ ท่านอาจจะแอบมาผลิตยาบ้าที่นี่ หรือแอบมาหาตัดไม้หวงห้ามเช่นไม้พยูง “
ท่านตอบว่า “ อาตมา เป็นพระไม่ทำเช่นนั้นหรอก “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ยังเชื่อไม่ได้หรอก ว่าพูดจริงหรือไม่ “
ท่านตอบว่า “ จริงซิ “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ถ้าเช่นนั้นท่านให้ค้นตัวไหมละ “
ท่านตอบว่า “ เอาซิ “
เขาก็ค้นตัวท่านทันที โดยไม่มีความคารวะใดๆ ก็ไม่เจอสิ่งผิดกฎหมายใดๆ แต่เขาก็ยังไม่ยอม !!
เขาบอกว่า “ ผมไม่รู้ว่า ท่านแอบซ่อนอะไรไว้ตรงไหนหรือไม่ และไม่รู้ว่าท่านแอบมาตัดไม้ไปแล้วหรือไม่ ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ต้องไปดูบริเวณนี้ด้วยกันว่า แอบไปตัดต้นไม้อะไรหรือไม่ “
ท่านก็ยอมเสียเวลา เดินไปตามป่า (โชคดีที่ชาวบ้านไม่ได้แอบมาตัดป่าช่วงนี้ )
กว่าจะจบ ก็ปาไปตะวันอยู่กลางศรีษะ บ่งบอกว่าเที่ยงแล้ว ก็กินเวลาปฏิบัติธรรมไปพอสมควร แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านก็ปฏิบัติกิจของพระธุดงค์ต่อไป.
ท่านนึกว่า คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น รุ่งเช้า หลังจากที่ท่านไปบิณฑบาต กลับมาที่กลด ชายคนเดิม ก็มาหาท่านอีก และแสดงความไม่เชื่อใจ ทำทุกอย่างเหมือนเดิม ยกเว้นไม่ดูเอกสาร คือขอค้นตัว
และพาไปเดินดูป่าบริเวณนั้น พร้อมทั้งย้ำเรื่อยๆ ว่าทำไมไม่ยอมไปอยู่วัด มาอยู่ป่าทำไมให้ลำบาก วัดร้างก็มีตั้งเยอะแยะ เป็นพระก็ควรอยู่แต่ในวัด ไม่ควรมาเผ่นพ่าน กว่าจะเสร็จ ก็ประมาณเที่ยงๆ เช่นเดิม
นึกว่าจะไม่มีอะไรอีกแล้ว แต่ก็ไม่มั่นใจว่า พรุ่งนี้คนนี้จะมาอีกไหม?
แน่นอน!! เขามาเหมือนเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม !!
สุดท้าย ท่านจึงถอนกลด เดินทางออกจากหมู่บ้านเดินธุดงค์ไปที่อื่น ที่ท่านคิดว่าจะไม่มีใครมารบกวน.
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ขนาดท่านเดินไปไกลพอสมควร น่าจะผ่านไปหลายหมู่บ้าน และไปปักกลด.
พอเช้าท่านก็ทำกิจวัตร คือไปบิณฑบาต เหมือนแหตุการณ์ลอกเลียนแบบครั้งที่แล้วไม่ผิด ท่านเจอเหมือนเดิมทุกอย่าง รอบนี้ท่านจึงอยู่แค่สองวัน และเดินจากไป.
และก็โดนเหตุการณ์เช่นนี้เรื่อยๆ แม้ไม่ทุกครั้ง แต่ก็โดนเป็นระยะๆ
จะท่านไปพบพระธุดงค์องค์อื่น ก็ปรากฏว่า มีประสบการณ์คล้ายๆ กัน คือ "โดนไล่ทางอ้อม"
สุดท้ายท่านก็ธุดงค์หนีจนไปถึง ภูพาน ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นศรัทธาท่านมากเพราะท่านเคยมาพักที่นี่หลายครั้ง ซึ่งค่อนข้างจะลึกลับพอสมควร ซึ่งก็คือสถานที่ที่พวกเราไปอยู่ปฏิบัติธรรมกัน..
ท่านอยู่ที่นี่ มีความเป็นสัปปายะ ทุกด้าน ท่านจึงยึดเอาสถานที่แห่งนั้นเป็นที่ปฏิบัติธรรมภาวนา จนพวกเราไปปฏิบัติธรรมกับท่าน
และท่านได้เล่า วิธีการไล่พระป่า ด้วยวิธีการไล่พระธุดงค์ ไม่ให้อาศัยอยู่ในป่า อีกต่อไป และจากที่ท่านเล่ามา.
ผมก็เชื่อได้เลยว่า "นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ แต่ต้องเป็นกระบวนการทำลายพระพุทธศาสนาแล้ว"
ผมจึงได้เล่าเรื่องที่เขาไล่พระป่า ด้วยวิธีการทุบวัด ท่านจึงบอกว่า ที่โยมว่ามานี่จริง เพราะตรงนี้มีสำนักปฏิบัติธรรมอยู่ 5 แห่ง ตอนนี้ถูกทุบไปแล้ว 4 แห่ง เหลืออีกแห่งเดียว ที่คนศรัทธามาก จึงยังทุบไม่ได้ !!
นี่ศาสนาพุทธ จะสิ้นที่ประเทศไทยแล้วหรือ !! และท่านก็ฝากฝังพวกเราให้มาช่วยกันกอบกู้พระพุทธศาสนา ที่บรรพชนสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ให้คงอยู่ในประเทศไทยให้ได้.
สรุป เพราะอะไรเขาจึงต้องขจัดพระธุดงค์ ???
1.พระธุดงค์ คือจุดแข็งของพระพุทธศาสนา
2.พระธุดงค์ มักมีจริยาวัตรที่น่าเคารพบูชา น่าเลื่อมใส
3.พระธุดงค์ มักจะสอนธรรมะที่ลึกลับ ฟังแล้วอัศจรรย์
4.พระธุดงค์ มักมีประสบการณ์อันลี้ลับที่คนไทยมักสนใจ
5.พระธุดงค์ มักมีวาระจิตที่สูงเด่นกว่าผู้อื่น
6.พระธุดงค์ มักยึดหลักพระธรรมวินัย
วิธีการขับไล่พระธุดงค์
1.ขับไล่ด้วยวาจา
2.กดดัน เพื่อไม่ให้อยู่ในพื้นที่
3.ใส่ร้ายป้ายสี
4.หาทางจับผิด
5.ปลุกระดมชาวบ้านให้เข้าใจผิด
6.ประทุษร้ายทางร่างกาย
7.นำยาบ้าผสมใส่อาหารถวาย
We Are Buddhists
พวกเราคือชาวพุทธ
นายกรณ์ มีดี
เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย
นายกสมาคมทางสายกลาง
19 ก.ค. 59
ตอนที่แล้วว่าด้วย ทุบวัด วันนี้ต่อด้วย "ขจัดพระธุดงค์"
ขอย้ำ การไล่พระป่า มี 3 แบบ
1. ทุบวัด (เป้าหมายทุบวัดที่อยู่ในเขตอุทยานกว่า 6,000 แห่ง)
2. ขจัดพระธุดงค์ (ออกจากป่า ให้ไปอยู่วัดในเมือง)
3. ส่งเข้ากรง (ให้ติดคุกด้วยวิธีการถวายยาบ้า ไปกับอาหาร/น้ำปานะ ให้พระฉัน)
“ ขจัดพระธุดงค์ " (อ่านให้ถึงตอนท้าย จะเล่าเรื่อง และวิธีการไล่พระธุดงค์ให้หมดจากป่า)
เหมือนเขาทำการบ้านมาอย่างดี ว่าการจะทำลายพระพุทธศาสนาให้สิ้นซากไปจากประเทศไทย ต้องระดมทำทุกอย่าง และเข้าใจดีว่าสิ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้นานทุกวันนี้ เกิดมาจากพระนักปฏิบัติ
พระนักปฏิบัตินั้น ยามเมื่อมีกำลังวังชา ท่านก็จะถือธุดงค์วัตร ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเกิดพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ชื่อดังมากมาย อาทิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั่น หลวงปู่แหวน หลวงตามหาบัว เป็นต้น
พ่อแม่ครูบาอาจารย์เหล่านี้ ท่านจะเดินธุดงค์ ในป่าลึกบ้าง มาอาศัยอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านต่างๆบ้าง
เมื่อท่านชราภาพมากขึ้น ท่านก็มักจะตั้งสำนักปฏิบัติธรรมตามพื้นที่ต่างๆ ก็จะเน้นอยู่บนเขาบ้าง ในป่าบ้าง ป่าทั่วไปบ้าง ซึ่งในอดีต ก็ไม่เคยมีการไล่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เหล่านี้มาก่อนเลย.
พ่อแม่ครูบาอาจารย์เหล่านี้ ได้สร้างพระนักปฏิบัติอย่างมากมาย สร้างคุณประโยชน์ทั้งต่อพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ จนเหลือจะคณานับ.
ผู้มุ่งร้าย เขาก็เห็นว่า พระป่า วัดป่า พระธุดงค์ คือ จุดแข็งของพระพุทธศาสนา !!
เขาจึงฉวยโอกาส !?.
ใช้กฎหมาย ใช้อำนาจที่อยู่ในมือบ้าง ใช้ผ่านบุคคลอื่นบ้าง ทำลายจุดแข็งของพระพุทธศาสนา ด้วยวิธีคือ องค์ไหนเดินธุดงค์ ก็ไล่ให้ออกจากป่า องค์ไหนตั้งสำนักปฏิบัติธรรมในป่า ก็อาศัยกฎหมายจัดการ ส่วนสำนักไหนไม่ผิดกฎหมาย ก็ส่งคนไปดำเนินการอย่างอื่น
เล่ามายาว เพื่อให้เห็นภาพว่า เขาทำไปทำไม ???
ผมขอเล่าประสบการณ์ตรง ที่ผมได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของผมองค์หนึ่ง.
ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ที่ผ่านมา ผมและเพื่อน ขึ้นไปปฏิบัติธรรมกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่เทือกเขาภูพาน 8 วัน ท่านจับพวกผมแยกไปปฏิบัติธรรมอยู่ห่างกันมาก อยู่คนละถ้ำ ห่างกันมาก
ท่านสั่งให้ผมอยู่ถ้ำที่งูอาศัยอยู่มาก ท่านถามว่าผมกล้าอยู่ไหม ผมก็ตอบว่า ถ้าท่านรับรองความปลอดภัยผมก็กล้าครับ ท่านบอก ไม่มีอะไรหรอก ถ้าเจริญสติปัฏฐานดี ก็ปลอดภัย แต่ถ้าเจริญสติไม่ได้ ก็ไม่แน่ ผมจึงรับปาก และก็ไม่มีอะไรจริงๆ
อยู่ได้จนเกือบครบกำหนด วันหนึ่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่าน กล่าวว่า ..
"โยม เจอกันครั้งหน้า โยมอาจไม่เห็นอาตมา อยู่ในชุดนี้แล้วนะ" เราตกใจ ว่าทำไมท่านกล่าวเช่นนั้น!
ท่านได้เล่าประสบการณ์ให้ฟัง ว่า ในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ท่านผจญอะไรมาบ้าง ท่านเล่าว่า
" ทั้งอาตมา และเพื่อนสหธรรมิก ตอนนี้ล้วนโดนกันถ้วนหน้า เลยนะโยม คือมันเป็นอย่างนี้ "
“ วันหนึ่ง อาตมาเดินธุดงค์ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งตอนใกล้ค่ำ ก็ปักกลดในทำเลไม่ห่างจากบ้านคนเท่าไหร่นัก เพื่อสะดวกต่อการไปโปรดญาติโยม พอตอนเช้าอาตมาก็ไปบิณฑบาต ตามปกติวิสัย บิณฑบาตเสร็จก็กลับมาที่กลด ขณะทำภาระกิจไม่ทันเสร็จ ก็มีคนมาหาท่านที่กลด โดยอ้างว่าเป็นผู้ดูแลที่นี่ “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ท่านมาทำอะไรในป่านี้ “
ท่านตอบว่า “ อาตมา มาธุดงค์ “
ผู้อ้างว่าดูแล “ มาธุดงค์ หาอะไรในป่านี้ ทำไมไม่ไปอยู่ในเมือง หรือวัดร้างตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปอยู่ “
ท่านตอบว่า “ อาตมา ชอบปลีกวิเวก จึงมาธุดงค์ในป่า “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นพระจริงหรือพระปลอม มีหลักฐานไหม”
ท่านก็ส่งใบสุทธิให้ตรวจสอบ.
ผู้อ้างว่าดูแล “ ถึงเป็นพระจริง ก็ไว้ใจไม่ได้ ท่านอาจจะแอบมาผลิตยาบ้าที่นี่ หรือแอบมาหาตัดไม้หวงห้ามเช่นไม้พยูง “
ท่านตอบว่า “ อาตมา เป็นพระไม่ทำเช่นนั้นหรอก “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ยังเชื่อไม่ได้หรอก ว่าพูดจริงหรือไม่ “
ท่านตอบว่า “ จริงซิ “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ถ้าเช่นนั้นท่านให้ค้นตัวไหมละ “
ท่านตอบว่า “ เอาซิ “
เขาก็ค้นตัวท่านทันที โดยไม่มีความคารวะใดๆ ก็ไม่เจอสิ่งผิดกฎหมายใดๆ แต่เขาก็ยังไม่ยอม !!
เขาบอกว่า “ ผมไม่รู้ว่า ท่านแอบซ่อนอะไรไว้ตรงไหนหรือไม่ และไม่รู้ว่าท่านแอบมาตัดไม้ไปแล้วหรือไม่ ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ต้องไปดูบริเวณนี้ด้วยกันว่า แอบไปตัดต้นไม้อะไรหรือไม่ “
ท่านก็ยอมเสียเวลา เดินไปตามป่า (โชคดีที่ชาวบ้านไม่ได้แอบมาตัดป่าช่วงนี้ )
กว่าจะจบ ก็ปาไปตะวันอยู่กลางศรีษะ บ่งบอกว่าเที่ยงแล้ว ก็กินเวลาปฏิบัติธรรมไปพอสมควร แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านก็ปฏิบัติกิจของพระธุดงค์ต่อไป.
ท่านนึกว่า คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น รุ่งเช้า หลังจากที่ท่านไปบิณฑบาต กลับมาที่กลด ชายคนเดิม ก็มาหาท่านอีก และแสดงความไม่เชื่อใจ ทำทุกอย่างเหมือนเดิม ยกเว้นไม่ดูเอกสาร คือขอค้นตัว
และพาไปเดินดูป่าบริเวณนั้น พร้อมทั้งย้ำเรื่อยๆ ว่าทำไมไม่ยอมไปอยู่วัด มาอยู่ป่าทำไมให้ลำบาก วัดร้างก็มีตั้งเยอะแยะ เป็นพระก็ควรอยู่แต่ในวัด ไม่ควรมาเผ่นพ่าน กว่าจะเสร็จ ก็ประมาณเที่ยงๆ เช่นเดิม
นึกว่าจะไม่มีอะไรอีกแล้ว แต่ก็ไม่มั่นใจว่า พรุ่งนี้คนนี้จะมาอีกไหม?
แน่นอน!! เขามาเหมือนเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม !!
สุดท้าย ท่านจึงถอนกลด เดินทางออกจากหมู่บ้านเดินธุดงค์ไปที่อื่น ที่ท่านคิดว่าจะไม่มีใครมารบกวน.
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ขนาดท่านเดินไปไกลพอสมควร น่าจะผ่านไปหลายหมู่บ้าน และไปปักกลด.
พอเช้าท่านก็ทำกิจวัตร คือไปบิณฑบาต เหมือนแหตุการณ์ลอกเลียนแบบครั้งที่แล้วไม่ผิด ท่านเจอเหมือนเดิมทุกอย่าง รอบนี้ท่านจึงอยู่แค่สองวัน และเดินจากไป.
และก็โดนเหตุการณ์เช่นนี้เรื่อยๆ แม้ไม่ทุกครั้ง แต่ก็โดนเป็นระยะๆ
จะท่านไปพบพระธุดงค์องค์อื่น ก็ปรากฏว่า มีประสบการณ์คล้ายๆ กัน คือ "โดนไล่ทางอ้อม"
สุดท้ายท่านก็ธุดงค์หนีจนไปถึง ภูพาน ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นศรัทธาท่านมากเพราะท่านเคยมาพักที่นี่หลายครั้ง ซึ่งค่อนข้างจะลึกลับพอสมควร ซึ่งก็คือสถานที่ที่พวกเราไปอยู่ปฏิบัติธรรมกัน..
ท่านอยู่ที่นี่ มีความเป็นสัปปายะ ทุกด้าน ท่านจึงยึดเอาสถานที่แห่งนั้นเป็นที่ปฏิบัติธรรมภาวนา จนพวกเราไปปฏิบัติธรรมกับท่าน
และท่านได้เล่า วิธีการไล่พระป่า ด้วยวิธีการไล่พระธุดงค์ ไม่ให้อาศัยอยู่ในป่า อีกต่อไป และจากที่ท่านเล่ามา.
ผมก็เชื่อได้เลยว่า "นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ แต่ต้องเป็นกระบวนการทำลายพระพุทธศาสนาแล้ว"
ผมจึงได้เล่าเรื่องที่เขาไล่พระป่า ด้วยวิธีการทุบวัด ท่านจึงบอกว่า ที่โยมว่ามานี่จริง เพราะตรงนี้มีสำนักปฏิบัติธรรมอยู่ 5 แห่ง ตอนนี้ถูกทุบไปแล้ว 4 แห่ง เหลืออีกแห่งเดียว ที่คนศรัทธามาก จึงยังทุบไม่ได้ !!
นี่ศาสนาพุทธ จะสิ้นที่ประเทศไทยแล้วหรือ !! และท่านก็ฝากฝังพวกเราให้มาช่วยกันกอบกู้พระพุทธศาสนา ที่บรรพชนสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ให้คงอยู่ในประเทศไทยให้ได้.
สรุป เพราะอะไรเขาจึงต้องขจัดพระธุดงค์ ???
1.พระธุดงค์ คือจุดแข็งของพระพุทธศาสนา
2.พระธุดงค์ มักมีจริยาวัตรที่น่าเคารพบูชา น่าเลื่อมใส
3.พระธุดงค์ มักจะสอนธรรมะที่ลึกลับ ฟังแล้วอัศจรรย์
4.พระธุดงค์ มักมีประสบการณ์อันลี้ลับที่คนไทยมักสนใจ
5.พระธุดงค์ มักมีวาระจิตที่สูงเด่นกว่าผู้อื่น
6.พระธุดงค์ มักยึดหลักพระธรรมวินัย
วิธีการขับไล่พระธุดงค์
1.ขับไล่ด้วยวาจา
2.กดดัน เพื่อไม่ให้อยู่ในพื้นที่
3.ใส่ร้ายป้ายสี
4.หาทางจับผิด
5.ปลุกระดมชาวบ้านให้เข้าใจผิด
6.ประทุษร้ายทางร่างกาย
7.นำยาบ้าผสมใส่อาหารถวาย
We Are Buddhists
พวกเราคือชาวพุทธ
นายกรณ์ มีดี
เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย
นายกสมาคมทางสายกลาง
19 ก.ค. 59
ยุทธการ ตีโอบสังฆมณฑล !!! ตอน " ไล่พระป่า ด่าพระเมือง "
Reviewed by Unknown
on
05:45
Rating:
ผมไม่รู้ว่าคุณเอาความคิดนี้มาจากไหน ไม่มีใครทำลายพระพุทธศาสนาในแบบที่คุณกำลังพล่ามอยู่นี้หรอก ผมว่าคุณบ้าไปแล้ว
ตอบลบ