วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เรื่อง ไม่อยากทำบุญกับพระ (ตอนที่ ๑)

โอวาทก่อนฉันจังหัน
พระอาจารย์คม อภิวโร วัดป่าธรรมคีรี 
----------------------------------


มีโยมบอกอาตมาว่า 

" ไม่รู้จะทำบุญวัดไหนดี เดี๋ยวนี้มีแต่วัดไม่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าวัดบ้าน วัดป่า วัดจีน วัดญวณ ผมเคยไปบวช ไปสัมผัสมาแล้วทุกที่ จะเป็นวัดหลวงปู่ดังๆ หรือวัดเล็กๆ ก็ตามเถอะ ผมบอกตรงๆ ผมพวกปัญญาจริต ผมไม่ศรัทธาหรอก พวกโล้นห่มเหลือง เดี๋ยวนี้ผมใส่บาตรพ่อแม่ครับ ไม่ทำบุญกับพระหรอก เปลืองข้าวสุกข้าวสารปล่าวๆ "

อาตมาได้ฟังแล้วจึงตอบเขาไปว่า

- สำหรับคนมีปัญญาชั้นตรี ก็จะเห็นว่า วัดดีก็มี วัดแย่ก็มี เราก็เลือกเอา

- สำหรับคนมีปัญญาชั้นโท ก็จะเห็นว่า "วัด" น่ะดีทุกวัด แต่ "ผู้มาบวช" ไม่ดีก็มี ที่ดีก็มี ต้องพิจารณาเฉพาะเป็นรายๆไป จะให้บวชมาแล้ว หมดกิเลส เป็นพระอริยะทุกรูปทันทีทันใด อันนั้นก็เพ้อเจ้อ 

- สำหรับคนมีปัญญาชั้นเอก ก็จะเห็นว่า วัดก็ดี พระก็ดี สำคัญที่ตัวเราเองดีหรือยัง ความดีขั้นสูงกว่าที่เราทำได้ในตอนนี้ยังมีอีกหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องขวนขวายในคุณธรรมนั้น จะพระ จะวัด จะใครก็ตาม ก็จะกลายเป็นครูของเราหมด สอนให้เราเรียนรู้ และเพิ่มพูนสติปัญญาเราตลอดเวลา พิจารณาได้ธรรมะตลอดสายเรื่อยไป 

- สำหรับพวกคนโง่ที่สุด...ก็จะเห็นแบบโยมนี่แหละ " ไม่ดีทั้งหมด!" เพราะใจโยมแบกความเศร้าหมองมืดดำไว้จนหนักอึ้ง ประเภทเราดีคนเดียว คนอื่นเลวหมด เห็นแต่โทษเขา โทษเราไม่เห็น น่าสงสารเหลือเกิน เขาเลว เขาก็ไปแล้ว แต่ใจเรายังแบกความเลวเขาอยู่ แถมมาทุกข์กับความเลวเขาด้วย 

วัดอื่นวัดไหนไม่สำคัญเท่า "วัดใจ" นะโยม แล้ววัดใจของโยมล่ะ เป็นอย่างไร วัดสะอาดดีไหม พระล่ะ เป็นพระที่ประพฤติดีไหม 

หยั่งสติค้นเข้ามาข้างใน "วัดใจ" พระในใจของโยมน่ะ ท่านปฏิบัติอย่างไร เที่ยวเพ่นพ่านอันธพาล ไปเกะกะระรานใครเขาบ้าง ไปตั้งแง่หาเรื่องใครเขาบ้าง ได้ทำตนเป็นพญาช้างชูงวงด้วยความหยิ่งจองหองไปทั่วหรือปล่าว 

วัดอื่น...วัดนอก
วัดใจ...วัดใน 

ถ้าวัดในเสื่อม ต่อให้ไปวัดนอกที่ประเสริฐแค่ไหน มันก็เป็นทัพพีห่อนรู้รสแกง 

มอง...ก็มองอย่างตากิเลส
ฟัง...ก็ฟังอย่างหูกิเลส
เพราะใจมันถูกครอบงำแล้วด้วยอคติ พอขาดสติ มันก็ปรุงแต่ง จับผิด ตั้งแง่หาเรื่อง วุ่นวายไป 

"วัดนอก" น่ะเป็นสิ่งที่น้อมนำมาสู่ "วัดใน" 

วัดนอกเป็นเครื่องมือทำความสะอาดวัดใน เป็นเรือนพักให้วัดใน เป็นความปิติสุข และเป็นสติ เป็นปัญญาให้แก่พระวัดใน 

เมื่อ "วัดใน" ผ่องใส มีพระปฏิบัติงามๆพำนักอยู่ประจำแล้ว อาจไม่ต้องมาวัดนอกก็ได้ 

-----------------------------------

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ทำบุญให้ทาน ทำอย่างไร จึงจะได้บุญสูง!!

เรื่องดีๆที่น่าศึกษาไว้ ..
สำหรับเราชาวพุทธทุกท่านค่ะ เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเคยมีคำถามอยู่ในใจ เวลาการทำบุญใส่บาตรพระ เราจะได้บุญมากไหม? แล้วของที่นำมาใส่บาตรพระควรเป็นอย่างไร ???

✍️การบูชาพระพุทธเจ้า ผ่านการใส่บาตร ทำสังฆทานกับพระสงฆ์ผู้เป็นตัวแทน

➡️ในการทำบุญนั้น เรารู้ดีว่า ถ้าผู้รับนั้นเป็นเนื้อนาบุญสูง อานิสงส์ของบุญนั้นจะมากขึ้นตามเนื้อนาบุญนั้น 

แต่ก็มีข้อกังขาอยู่เสมอว่า พระสงฆ์ที่รับสังฆทาน หรือที่รับบาตรนั้นเป็นเนื้อนาบุญที่สูงหรือไม่ หรือเป็นเพียงคนที่โกนหัวใส่ผ้าเหลือง 



🌟ในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านสอน วิธีในการใส่บาตรหรือทำสังฆทานที่ได้บุญมาก และป้องกันไม่ให้เกิดความไม่สบายใจ การบูชาพระพุทธเจ้า ผ่านการใส่บาตร ทำสังฆทานกับพระสงฆ์ผู้เป็นตัวแทน

 🌟สำหรับเวลาที่เราทำบุญกับพระสงฆ์นั้น ให้ทำการอธิษฐานก่อนถวายทาน ถ้าอธิษฐานไปเลยจากบ้านก็จะยิ่งดีหรือ ในเวลาก่อนที่จะไปถวาย เพราะเมื่อเราไปถึงวัด อาจจะเจอกับคนที่ไปทำบุญมาก จนดูพลุกพล่าน ทำให้สมาธินั้นรวมได้ไม่ค่อยนิ่ง

 🌟ในช่วงเวลาที่อธิษฐาน ขอให้สำรวม ทำจิตของเราให้นิ่ง แล้วอธิษษฐานให้สังฆทานเหล่านั้น ส่งตรงไปถวายกับพระพุทธเจ้าเลยจะได้บุญสูง พระที่รับตรงหน้าเรานั้นเป็นเพียงตัวแทนของพระพุทธองค์
 ถ้าท่านจะดีหรือไม่ดี เราไม่ต้องไปสนใจ เพราะจะทำให้จิตเรานั้นตกและมีความกังวล

🌟ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่า จะทำบุญกับพระสงฆ์ที่ดีหรือไม่ ขอให้เราทำจิตใจให้บริสุทธิ์ สะอาด รับบุญอย่างเต็มที่ ก็ได้บุญเหมือนกัน

 🌟แต่มีข้อปลีกย่อยแต่สำคัญมากก็คือ สิ่งของที่นำไปใส่บาตรพระ หรือในสังฆทานนั้น ควรจะเป็นสิ่งของที่ดี ประณีต มีคุณภาพ เมื่อวัตถุทานนั้นดีเยี่ยม จิตใจของผู้ให้นั้น มีศรัทธา มีเจตนาในการให้อย่างเต็มเปี่ยม โดยไม่คิดหวังผลตอบแทน มีจิตใจเป็นผู้ให้ทั้งก่อนให้ ในขณะที่กำลังให้และหลังให้ ย่อมมีอานิสงส์มากมาย

 🌟เมื่อเสร็จจากการทำบุญแล้ว ควรอธิษฐานขอพร ขอพระบารมีให้ชีวิตนั้นมีความสุข ไม่มีความขัดข้อง และไม่มีในชีวิตอย่างบังเกิดขึ้นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อุทิศบุญกุศล ให้แก่ผู้มีพระคุณและคู่กรรมคู่เวรเสีย ทั้งญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี แผ่บุญกุศลออกไปวงกว้าง ต่อทุกดวงวิญญาณ

 🌈บุญใหม่ที่เราสร้างขึ้นมา จะมากพอที่จะนำให้เราพ้นจากวิบากกรรมไม่ดี บางวิบากกรรมได้ และชีวิตจะรุ่งเรืองด้วยบุญนั้นพาไป

 📝จากหนังสือเรื่อง เปิดบุญ เปลี่ยนรหัสกรรม 
โดย ธ.ธรรมรักษ์ และทศ คณนาพร
-----------------

Cr. line@ศูนย์อบรมเยาวชนเพชรบุรี

พิธีปิดอบรมบาลีก่อนสอบรอบสอง>> ณ วัดสุทธาวาส สหรัฐอเมริกา..

กิจกรรมในทางพระพุทธศาสนา นอกจากในประเทศไทยแล้วประเทศใหญ่ๆ อย่างเช่นประเทศสหรัฐอเมริกา

ก็มีกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มั่นคงไปทั่วโลก!!

และวันนี้ขอนำเสนอกิจกรรมดีๆ ในต่างแดน คือพิธีปิดอบรมบาลีก่อนสอบรอบสอง ณ วัดสุทธาวาส เมืองริเวอร์ไซด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา



โดยมีพระเดชพระคุณพระเทพวรมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เป็นประธานสงฆ์ ในโครงการปิดการอบรมบาลีก่อนสอบ ..




วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐โครงการปิดการอบรมบาลีก่อนสอบ (รอบที่ ๒) ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ วัดสุทธาวาส เมืองริเวอร์ไซด์ สหรัฐอเมริกา




 และพระเดชพระคุณพระวิเทศธรรมคุณ เจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส รองประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา เป็นผู้กล่าวรายงานสรุปผลการดำเนินงานครั้งนี้


กำหนดการพิธีปิดโครงการอบรมบาลีก่อนสอบสนามหลวง ประจำปี ๒๕๖๐  (ครั้งที่ ๒)

สำนักเรียนคณะสงฆ์ไทยในประเทศสหรัฐอเมริกา
วันจันทร์ที่ ๒๖ เดือน มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ณ วัดสุทธาวาส เมืองริเวอร์ไซด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

เวลา ๑๖.๐๐ น.  คณะพระวิทยากร และนักเรียนผู้เข้าอบรมบาลีก่อนสอบ พร้อมกัน ณ รัตนอุโบสถศาลา ชั้น ๒
๑๖.๑๐ น. -พระเทพวรมุนี เจ้าคณะจังหวัดนครพนม เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยและนำไหว้พระสวดมนต์
-พิธีกร จำเจิรญจิตภาวนาเป็นพุทธฐูชา ๕ นาที
-พระวิเทศธรรมคุณ รองประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา รูปที่ ๗ ประธานฝ่ายการศึกษา กล่าวรายงานสรุปโครงการอบรมบาลีก่อนสอบประจำปี ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒)
-พระเทพวรมุนี ประธานในพิธีให้โอวาทและ กล่าวปิดโครงการอบรมบาลีก่อนสอบประจำปี ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒)
-ประกอบพิธีสามีจิกรรม ของพระวิทยากรและนักเรียนผู้เข้าอบรมต่อประธานในพิธี
-กิจกรรมกล่าวสุนทรพจน์บอกความรู้สึก "จากใจถึงใจ" ของพระวิทยากรและนักเรียนผู้เข้าอบรม
-ถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก เป็นเสร็จพิธี
-กองงานเลขานุการโครงการฯ ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางไปสนามสอบและรายละเอียดเกี่ยวกับการสอบที่วัดไทยลอสแองเจลิส
๑๖.๔๐ น. เดินทางจากวัดสุทธาวาสไปยังสนามสอบวัดไทยลอสแองเจลิส
๑๗.๓๐ น. ถึงวัดไทยลอสแองเจลิสโดยสวัสดิภาพ และพักผ่านตามอัธยาศัย


 ในการอบรมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 18 รูป กราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้

Cr. วัดสุทธาวาส

วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560

✍️การให้ทานให้ได้บุญมากวัดกันอย่างไร ??

➡️พระพุทธศาสนาไม่ได้วัดผลบุญว่า จะได้มากได้น้อยด้วยการตีความว่า ต้องทำบุญด้วยวัตถุเป็นปริมาณมากๆ หรือเป็นตัวเงินมากๆ แต่อย่างใด!!


🌟แต่บุญที่ได้จากทานจะนั้นวัดกันด้วย “ใจหรือเจตนาที่ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข เป็นที่ตั้งใหญ่สุด” 

ต่อมาก็คือ เรื่องวัตถุที่จะให้ทาน อาการของการให้ และสุดท้ายก็คือผู้รับทานนั้นการให้ทาน ให้ได้บุญมากวัดกันอย่างไร


🌟คำว่า เจตนานั้น หมายถึงความประสงค์ หรือเป้าหมายในการทำบุญ ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวเปรียบเทียบเป็นน้ำไว้ 3 แบบคือ

✅1. ทำบุญเหมือนเอาน้ำโคลนมาอาบ
🌟เป็นการทำบุญที่เจือด้วยบาป เช่น การฆ่าสัตว์เบียดเบียนผู้อื่นเพื่อนำมาทำบุญ ล้มวัว ล้มหมู เอามาต้มยำทำแกงหวังจะเอาบุญ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากบาป ก็เหมือนเอาน้ำโคลนมาล้างตัว อาบอย่างไรก็มีกลิ่นเหม็นติดตัวอยู่วันยังค่ำ

🌟การทำบุญแบบนี้ หากจะกล่าวให้เข้าใจจริงๆ อาจเรียกได้ว่า เป็นการทำบุญที่จะได้บาปแทน เพราะแม้เจตนาดีต้องการถวายทานก็ตาม แต่เราต้องไปเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นมา หรือแม้แต่บางคนไปจี้ไปปล้นเขามา ไปโกงเขามาทำบุญ หรือใช้วิธีบังคับเบียดบังเอาเงินมาสร้างบุญ

 🌟เรื่องเล่าในอดีตของวัด “คณิกาผล” ที่คนผู้หนึ่งเป็นคนสร้าง โดยเบียดบังเงินค่าตัว ของหญิงคณิกาในสมัยก่อนเก็บเอาไว้เพื่อจะไปสร้างวัด

แม้เจตนาจะดีต้องการทำบุญ แต่เป็นบุญที่เกิดมาจากกองทุกข์ของคนอื่น เมื่อผู้สร้างไปถามครูบาอาจารย์

ถึงเรื่องอานิสงส์ของการสร้างวัดจะเป็นอย่างไร ท่านก็ตอบได้ว่า ได้เพียงเศษเสี้ยวนิดหนึ่งเท่านั้น ทำให้ผู้สร้างเกิดความเสียใจมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะการสร้างวัดก็เสร็จไปเรียบร้อยแล้ว น่าสงสารยิ่งนัก

✅2. ทำบุญเหมือนเอาน้ำหอมมาอาบ
🌟เป็นการทำบุญแบบที่หลายๆ คนเข้าใจ ก็คือ หวังผลแห่งบุญแห่งทานว่าจะทำให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน ความสะดวกสบาย ได้มาในลาภยศชื่อเสียง

เปรียบไปแล้วก็เหมือนการเอาน้ำหอมมาอาบ แม้จะสะอาดกว่าน้ำโคลนแต่ก็ยังมีกลิ่นติดตัว คละคลุ้งไม่สะอาดหมดจดจริง ๆ

 🌟มีคนจำนวนมากที่ทำบุญเพราะหวังในผลแห่งบุญ หรือผลแห่งทาน ซึ่งจะว่าไปก็คงเป็นเพราะกมลสันดาน ของปุถุชนมักมีกิเลสเรื่องความต้องการใน โภคทรัพย์และความสะดวกสบายของชีวิต เวลาทำบุญจึงพากันขนของมากมายเข้ามาเต็มวัด เต็มศาลา หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่เป็นประโยชน์กับคณะสงฆ์ กลายเป็นการสร้างภาระให้วัด และพระภิกษุสามเณรไปเสียอีก

บ้างก็ขอโน่น ขอนี่ให้ได้ไปสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ หรือหวังอานิสงส มากมายจากการทำบุญ จึงพากันเข้าใจผิดไปด้วยว่า ยิ่งทำแบบให้สิ่งของมากก็จะยิ่งได้บุญมาก ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย

✅3. ทำบุญเหมือนเอาน้ำสะอาดมาอาบ

🌟เป็นการทำบุญที่ได้บุญมากที่สุด เพราะเจตนาเพื่อละกิเลส ถ่ายถอนความตระหนี่ถี่เหนียว ในจิตใจ ไม่ได้หวังในผลใดนอกเหนือจากนี้ อุปมาแล้วก็เหมือนการอาบน้ำด้วยน้ำสะอาด เมื่ออาบแล้วก็รู้สึกสดชื่นร่างกายสะอาดอย่างแท้จริง

 🌈อย่างที่สองคือเรื่อง “วัตถุทาน”
พระพุทธศาสนากล่าวถึงเรื่องวัตถุที่จะนำมาทำบุญ ไว้หลายด้าน ขอให้เข้าใจว่า วัตถุทาน ที่จะทำให้ได้บุญมากนั้นเกิดจาก

✅1. วัตถุสิ่งของนั้นเป็นของที่เราได้มาอย่างซื่อสัตย์สุจริต
คือหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงเราเองไม่ได้เบียดบังใครมาข้อนี้สำคัญที่สุดเรื่องของวัตถุ

✅2. วัตถุสิ่งของนั้น ก็ควรจะเป็นของที่ประณีต อย่างน้อยก็เป็นระดับเดียวกับผู้ที่ให้ทานนั้นกินหรือใช้อยู่ ซึ่งไม่ได้หมายความว่า พระท่านอยากจะได้ของดี ๆ จากญาติโยมไปใช้ แต่หมายถึง วัตถุทานที่มีคุณภาพจะเป็นประโยชน์ต่อการบำรุงพระพุทธศาสนาได้จริง ไม่เป็นภาระกับพระ หรือผู้ที่ปฏิบัติธรรม

🌟ของที่ประณีตนั้นจะบ่งบอกถึงความสามารถ ของจิตใจในการสละสิ่งของเพื่อละกิเลสได้ดีกว่า คนที่ให้ทานแต่ยังตระหนี่อยู่ มักจะให้ของเลวกว่าตนเองใช้ ขณะที่ คนที่ทำทานแบบไม่มีความตระหนี่ จะสามารถให้ของดีได้ ไม่หวงแหนไว้ เป็นการวัดกันเรื่องใจอีกเช่นกัน

🌈อย่างที่สามคือ “อาการของการให้”
คนที่อยากจะให้ทานจริง กับคนที่ไม่เต็มใจจะให้ทาน จะออกอาการต่างกันในภาษาพระเรียกว่า “สัปปุริสทาน” แต่ ขอกล่าวเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าคนที่ให้ด้วยอาการเคารพ ยกของทูลขึ้นหัวและ
น้อมให้ด้วยกิริยาเคารพอย่างเต็มใจ ย่อมได้บุญมากกว่า คนที่ให้แบบโยนของแบบส่ง ๆให้แน่นอน 

เพราะจิตใจของคนที่เต็มใจให้จะแช่มชื่นเบิกบานมากกว่า คนที่ให้แบบส่ง ๆชุ่ย ๆ เหมือนไม่เต็มใจจะให้

🌈อย่างสุดท้ายก็คือ “ ผู้รับทาน”
นั้นเป็นผู้ที่เหมาะสมจะรับทาน คือเป็นคนดีมีศีลธรรม ยิ่งมีศีลธรรมมากก็จะยิ่งได้บุญมากเป็นลำดับ

🌟ลองเปรียบเทียบว่า หากเราได้ให้ทานกับ โจรที่บาดเจ็บ ให้ข้าวให้น้ำรักษาตัวจนหาย แล้วมันก็ออกไปปล้นชิงชาวบ้านสร้างความเดือดร้อนต่อ ก็ย่อมได้บุญน้อย แต่หากเป็นผู้ที่มีศีลธรรม เป็นนักปราชญ์
เมื่อช่วยเหลือให้ทานเขาแล้ว เขาก็จะนำตนเองไปสร้างประโยชน์ สร้างความเจริญให้กับผู้อื่นและสังคม ผู้ที่ทำบุญช่วยเหลือคนดีเอาไว้ก็ย่อมได้บุญมาก

 🌟ข้อนี้เป็นคำตอบว่าเหตุใดเอกสาฎกพราหมณ์ จึงได้ผลบุญมากมายก็เพราะผู้รับทานของตนเอง เป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มีบุญคุณสูงสุดกับโลกนี้ ผลบุญจึงมากมายตามไปด้วย

🌟ปัจจัยทั้ง 4 ข้อเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในการทำบุญด้วยทานให้มีผลอานิสงส์มาก บุญมากหรือน้อยวัดกันที่ “เจตนาเป็นหลักใหญ่สุด” ที่สำคัญอย่าได้ทำบุญแบบขาดสติปัญญาทุ่มหมดหน้าตัก จนทำให้ตนเองไม่มีกิน หรือผู้อื่นเดือดร้อนรำคาญไปด้วยแทนที่จะได้บุญจะได้บาปไปแทน

📝จากหนังสือเรื่อง สร้างบุญบารมีอานิสงส์สูง
ไม่เสียเงินแม้แต่สลึกเดียว โดย จิตตวชิระ
-----------------
#...Panyawa...#
//////////////////
line@ศูนย์อบรมเยาวชนเพชรบุรี
-----------------
URL: http://line.me/R/home/public/post?id=xxp5405b&postId=1149791758610022331
-----------------
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1896221897327893&id=1564154067201346&substory_index=0

ทำไมศาสนาพุทธถึงเสื่อมจากประเทศเนปาล ทั้งๆที่เป็นแดนพุทธภูมิ??

จะว่าไปประเทศเนปาลเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีพระพุทธศาสนาคงอยู่ ตลอด 2,600 ปี 


แม้จะเสื่อมไปมากแล้วก็ตาม เพราะลูกหลานของตระกูลศากยะ เขาสั่งสอนสืบทอดกันมา ให้รักษาพระพุทธศาสนาไว้ประดุจหนึ่งเป็นสมบัติของตระกูล

เดิมทีเนปาล เป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนต่างๆ มากมาย เช่น ธิเบต ภูฏาน ฯลฯ ประชาชนก็เป็นคนมีจิตใจเอื้อเฟื้อโอบอ้อมอารี คล้ายๆ กับคนพุทธในทุกประเทศ

วันหนึ่ง .... วันหนึ่งครับ 

มีนักบวชพราหมณ์ คนหนึ่งเดินทางมาจากอินเดีย เห็นความเอื้ออารีของชาวเนปาล ก็อยากจะให้ดินแดนเนปาลเป็นของชาวฮินดู ก็เริ่มวางแผนกิจกรรมทางศาสนาของฮินดู แรกๆ ก็ใช้วิธีประนีประนอมกับชาวพุทธเพราะมีคนน้อยกว่า ส่วนคนพุทธก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร เพราะคิดว่า ไม่มีทางที่เนปาลจะเป็นฮินดูไปได้ ก็ปล่อยให้ฮินดูทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ

ฮินดูเขาก็ฉลาด วางแผนเข้าสู่อำนาจทางการเมือง เมื่อได้อำนาจทางการเมือง ก็เริ่มออกกฏหมายมาบังคับชาวพุทธ เช่น ห้ามชาวพุทธทำกิจกรรมทางศาสนา ห้ามสวดมนต์บ้าง ห้ามรับบริจาคบ้าง ห้ามบวชบ้าง จับพระสึกบ้าง เนรเทศพระบ้าง ฆ่าพระบ้าง บางยุคกษัตริย์ไม่ได้เป็นชาวพุทธก็ทำลายวัด ทำลายศาสนาสถานกันดื้อๆ ทั้งๆ ที่จำนวนวัด จำนวนเจดีย์ เคยมีเป็นจำนวนมาก เรียกว่า ชาวพุทธถูกย่ำยีจนแทบไม่กล้าจะบอกใครว่าตนเป็นชาวพุทธเลยทีเดียว

ถ้าใครเคยไปเที่ยวเนปาล จะเห็นบ้านเก่าๆ ที่เป็นของชาวพุทธ เขาจะสร้างบ้านที่มีใต้ถุนปิดทึบ และใต้ถุนนั้นแหล่ะ คือที่ๆ ชาวพุทธใช้ในการแอบสวดมนต์ ทำเป็นห้องพระ เพราะแม้แต่สวดมนค์ ถ้าถูกจับได้ก็จะถูกทางการทำโทษ

 ....เริ่มมองเห็นภาพอะไรบ้างแล้วหรือยังว่าวิธีที่เขาใช้ทำลายพระพุทธศาสนานั้นไม่ได้ยากอะไรเลย เพราะชาวพุทธส่วนใหญ่ จะ "ซื่อ" กันแทบทั้งนั้น

ลองเปลี่ยนตัวละครใหม่ จาก "ฮินดู" เป็น บางศาสนา และเปลี่ยน เนปาลเป็นกะลานีเซียซิ มันช่างเหมือนละคร Remake ยังไงยังงั้น

ภาพ : The Great Stupa of Dharmakaya พระมหาธรรมกายสถูป ถ้าไปที่เนปาล ชาวพุทธส่วนใหญ่ รู้จักคำว่า "ธรรมกาย" เพราะธรรมกาย คือ ชื่อของพระพุทธเจ้าแท้ๆ และดั้งเดิม

Cr. Korn-pin

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เอาความปรารถนาดีมาบังหน้า อ้างว่าเพื่อจะปฏิรูปศาสนาให้ดีขึ้นแต่..

ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่า ซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์ที่คล้ายกันก็คือ ชาวพุทธเป็นไส้ศึกให้กับศัตรู!!



สถานการณ์ศาสนาพุทธในยามนี้ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเหตุการณ์
ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่า

ซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์ที่คล้ายกันก็คือ ชาวพุทธเป็นไส้ศึกให้กับศัตรู

ต่างเพียงแต่ว่าในอดีตไส้ศึกไม่เปิดเผยตนเองให้ใครรู้

แต่ปัจจุบันใส้ศึกเปิดเผยตัวตนชัดเจน เพราะมั่นใจว่าฝ่ายตนชนะแน่นอน เปิดเผยตัวตนว่าเป็นชาวพุทธ เพื่อจะได้ทำลายศาสนาได้ถนัดมือ



โดยเอาความปรารถนาดีมาบังหน้า อ้างว่าเพื่อจะปฏิรูปศาสนาให้ดีขึ้นแต่.. สิ่งที่ทำคือการขุดรากถอนโคนศาสนา

ชาวพุทธส่วนใหญ่ที่ห่างไกลศาสนา ก็คล้อยตามวาทะบทบาทที่เขาแสดง หลงเป็นแนวร่วมให้กับเขา 

โดยหันมาเล่นงานพวกเดียวกันก็มี และมีอยู่มิใช่น้อยเลย เหตุการณ์ทั้งหมดที่ดูตามนี้บ่งบอกว่า ศาสนาพุทธจะล่มสลายในไม่ช้าแล้ว

เหตุการณ์ก่อนเสียกรุงนั้น เมื่อประชาชนและเหล่าทหารเคยกล้า เห็นว่ากรุงศรีอยุธยาต้องแตกแน่นอน ต่างพยายามหลบหนีออกจากเมือง ไปแอบหลบซ่อนอยู่ตามป่า

แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากเหตุการณ์ ในครั้งนั้นอย่างสิ้นเชิงก็คือ เมื่อรู้ว่าศาสนาพุทธในชื่อว่าธรรมกาย อยู่ในสถานการณ์ลำบากใกล้คับขัน



 เหล่าทหารกล้าของพระพุทธเจ้า ได้เริ่มพากันทะยอยเข้าไปในวัด อย่างไม่ขาดสายและไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาเหล่านั้นมิได้คิดแบบแคบๆว่า ไปเพื่อปกป้องหลวงพ่อธัมมชโยหรือ เพื่อปกป้องวัดพระธรรมกายเท่านั้น



แต่พวกเขาพากันคิดว่า ไปเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ไปเพื่อปกป้องชาวพุทธทั้งประเทศ !!

เหตุการณ์นี้พอช่วยให้อุ่นใจได้บ้าง ว่าศาสนาพุทธจะผ่านพ้นวิกฤติภัยได้ แต่ถ้าทหารกล้าของพระพุทธเจ้า มีแค่เพียงหยิบมือเดียวเมื่อเทียบกับ จำนวนชาวพุทธทั้งประเทศ เหตุการณ์คงไม่แคล้วเป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย กรุงศรีอยุธยาเป็นแน่แท้.

ที่มา บุปผาธรรม

Cr.mindfulnews

วันเสาร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ร่องรอยความเจริญของพระพุทธศานาในจีน!!

จีนตะลึง!
พระพุทธรูปโบราณโผล่หลังน้ำลดฮวบ !!!



นักโบราณคดีเริ่มโครงการสำรวจใต้น้ำ 
หลังจากชาวบ้านในมณฑลเจียงซี 
ทางตะวันออกของจีนพบ 
พระเศียรของพระพุทธรูปที่โผล่ขึ้นเหนือ 
อ่างเก็บน้ำของท้องถิ่น



ชาวบ้านพบพระเศียรในอ่างเก็บน้ำ 
หงเหมิน (洪门水库) เขตหนานชาง 
เมืองฝูโจวตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว 
เมื่อมีการปรับปรุงประตูโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ จึงส่งผลให้ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำลดลงประมาณ 10 เมตร

ซวีจ่างชิง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยด้านโบราณคดีของมณฑลเผยว่า 
หากดูจากการออกแบบพระเศียร 
คาดการณ์ว่าพระพุทธรูปองค์นี้ 
ถูกแกะสลักขึ้นเมื่อสมัยราชวงศ์หมิง 
(ค.ศ.1368-1644)


นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบ 
หลุมเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่แกะสลักตามหน้าผา 
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่แห่งนี้เคยมีวัดตั้งอยู่



ทั้งนี้ อ่างเก็บน้ำหงเหมิน 
หรือที่รู้จักกันในชื่อ ทะเลสาบจุ้ยเซียน (醉仙湖) ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1958 สามารถเก็บน้ำได้ 1.2 พันล้านลูกบาศก์เมตร

อย่างไรก็ตาม อ่างเก็บน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองโบราณซึ่งในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางขนส่งน้ำที่สำคัญระหว่างมณฑลเจียงซีกับฝูเจี้ยน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าขายด้วย

Cr.กลุ่มไลน์

ใครอยู่หลังฉาก ขบวนการทำลายพระ ทำลายพระพุทธศาสนา???

พระพุทธศาสนา สืบทอดมากว่า2560 ปี โดยมีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด!!!

"เสนอลดอำนาจเจ้าอาวาส จัดการดูแลเงินวัด เพิ่มชุมชนมีส่วนร่วม"



 ผศ.ดร.ณดา จันทร์สม คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การทุจริตเงินวัดเกิดจากข้อบกพร่องในการทำบัญชีรายรับรายจ่ายของวัด ซึ่งไม่ให้ความสำคัญกับการทำบัญชีอย่างจริงจัง ส่งผลให้ไม่รู้ที่มาที่ไปของเงินที่เข้ามาและจ่ายออกว่าถูกนำไปทำอะไรบ้าง เป็นไปตามวัตถุประสงค์การบริจาคที่แท้จริงหรือไม่

และจากการศึกษาพบว่า มีเงินหมุนเวียนในวันต่อปี อยู่ที่ 100,000-120,000 ล้านบาท ซึ่งวัดเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรจึงเห็นว่า ไม่จำเป็นที่วัดต้องมุ่งหารายได้เป็นหลักและจากการสำรวจเงินหมุนเวียนของวัด 490 แห่ง ทั่วประเทศพบว่า มีรายรับเฉลี่ยอยู่ที่ 3.23 ล้านบาท ส่วนมากเป็นเงินบริจาคที่ระบุวัตถุประสงค์ เช่น ซ่อมโบสถ์ ในขณะที่รายจ่ายอยู่ที่ 2.77 ล้านบาท เช่น ค่าก่อสร้าง ซ่อมอาคาร



สำหรับรูปแบบการเก็บรักษาเงินของวัด ส่วนใหญ่เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ จะเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารไว้ โดยเจ้าอาวาส กรรมการวัด หรือ ไวยาวัจกร 1-2 คน เป็นผู้ร่วมลงนามในการเบิกจ่ายเงิน

 โดยการทำรายงานทางการเงินของวัดใช้รูปแบบที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกำหนดไว้ ยังไม่ได้ทำรายงานตามหลักบัญชีที่รับรองกันโดยทั่วไป และผู้ที่ดูแลสมุดเงินฝากของวัดส่วนใหญ่ 70 เปอร์เซ็นต์เป็นเจ้าอาวาสวัด รองลงมาเป็นไวยาวัจกร และกรรมการวัด ซึ่งบุคคลดังกล่าวทั้งหมดส่วนมากขาดความรู้ในการบริหารเงิน จึงต้องมีกระบวนการพัฒนาบุลลากรเหล่านี้

ที่มา Spring News

************************************

  จากข่าว....

...จึงขอฝากไปถึงผู้ปรารถนามาจัดการเงินวัด เผื่อจะได้คิด และหายฟุ้งซ่าน...บ้าง!

 ในนามพุทธศาสนิชน หนึ่งในพุทธบริษัทสี่
มีความเห็นว่า พระพุทธศาสนา สืบทอดมากว่า2560 ปี โดยมีพระรัตนตรัยเป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด



 ก่อนปรินิพานพระพุทธองค์ทรง ให้ยึดพระธรรมวินัย เป็นแนวทาง ผู้มีศรัทธาทั้งหลายเมื่อ ทำบุญก็เพราะอยากได้บุญ จึงเลือกที่จะทำบุญที่ให้ได้บุญมาก เพราะเชื่อในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

 เช่นในตอนหนึ่ง พระองค์ทรงตรัสว่า
 "ดูก่อนอานนท์ เราไม่กล่าวปาฏิปุคลิกทาน (การทำทานที่เจาะจงเฉพาะบุคคล) ว่ามีอานิสงส์มากกว่าสังฆทานโดยปริยายใดๆ สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ พระสงฆ์เป็นประมุขของผู้บูชา พระสงฆ์นี่แหละเป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า"



 ชาวพุทธผู้ฉลาดปรารถนาบุญ จึงนิยมทำบุญกับหมู่สงฆ์ เมื่อทำแล้วก็ได้บุญ ส่วนปัจจัยไทยธรรมก็เป็นของสงฆ์ พระสงฆ์ก็นำไปสร้างประโยชน์ให้กับบวรพระพุทธศาสนา

 แต่เหตุไฉนใยเล่า จึงมีฆราวาสหัวดำบางท่านทำตัว น่ากังขา แม้แต่การจะเคารพนับถือในพระรัตนตรัยและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาก็ไม่เคยเห็น แต่ออกความเห็นเกินหน้าที่ เสนอให้มีการมาดูแลเงินวัด

 เรื่องพระสงฆ์องค์เจ้าให้ท่านจัดการกันเองเถอะ ท่านมีองค์กรสงฆ์มีมหาเถระสมาคม มีเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ดูแลกันอยู่แล้ว 

 หากคิดจะมาจัดการสงฆ์ ไปจัดการองค์กรของตนเอง หน่วยงานภาครัฐ ทุกหน่วยงานให้บริสุทธิ์หมดจรดเสียก่อน เถอะคุณ..!




 หรือมีเวลาลามากก็ลองไปร้องแรกแหกกะเฌอ กับศาสนาต่างๆ ว่าอยากจัดระบบการเงินของศาสนานั้นๆ กล้าไหมล่ะ หากรีบไปทำ ก็หวังว่าชีวิตคุณคงจะมีความสุขกายสบายใจบ้างน่ะ (เผื่อจะหายฟุ้งซ่านบ้าง)

   เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้!

Cr:ชาวพุทธผู้ไม่จาบจ้วงพระรัตนตรัย , เส้นทางบุญ

วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2560

มีคนถามว่าทำไมขยันทำบุญ ???

มีคนถามว่าทำไมขยันทำบุญ  

มีคำตอบครับ แต่ไม่ใช่คำตอบเอง  แต่เป็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ ท่านได้เทศน์เรื่องทำบุญไว้ว่า     

  "ทำไมต้องทำบุญ?" 

..เพราะ บุญ เป็นพลังงาน ที่มีพลังดึงดูด ความเจริญ มาสู่ชีวิต เป็นต้นเหตุ แห่งความสุข ความสำเร็จ ในชีวิต 

..ถ้าบุญน้อย อุปสรรคในชีวิตก็มาก 

..ถ้าบุญมาก อุปสรรคในชีวิตก็น้อย 

..ถ้าบุญอ่อนกำลังลง หรือ บุญหมด.. 

..บาปที่เคยทำไว้ ก็จะได้โอกาส ส่งผล 

..ทำให้ชีวิต มีอุปสรรค ต่างๆนานา 

..เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความสุข หมดอำนาจวาสนา เสียชื่อเสียงเกียรติยศ แม้คนที่รักกันก็หมดรัก แม้ทรัพย์ที่มีอยู่น้อยนิด ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้.. 

..ฉะนั้น การจะมี ทรัพย์สมบัติทุกอย่าง และ ความสมบูรณ์พร้อมในชีวิต ก็ต้องมีบุญ ที่มากเพียงพอ 

..ซึ่งไม่ว่า จะอยู่ในสถานภาพใด ล้วนต้องอาศัยบุญทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยากอยู่แบบพอมีพอกิน หรือ คิดจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หรือ พระเจ้าจักรพรรดิ 

..แม้กระทั่ง ปรารถนา ที่จะหมดกิเลส บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องมีบุญถึง บารมีถึง ถึงจะดำรงอยู่ในสภาวะนั้น ได้อย่างมั่นคง และมีความสุข 

..ด้วยเหตุนี้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ทำชั่วแล้วได้ดี เพราะบุญที่เขาไว้ยังส่งผลอยู่ เมื่อไรบุญนั้นอ่อนกำลัง บาปจะได้ช่องส่งผล อย่างแน่นอน

อย่างที่บางคน ก่อนจะตายนอนอยู่ บนเตียงจะเห็นภาพในอดีตทั้งดีและไม่ดี ทั้งๆที่จำไม่ได้แล้ว บางก็ร้องไห้  ร้องเป็นเสียงสัตว์ ก็มีเยอะดั่งนั้นจึงอย่าได้ประมาท ทำแต่ความดี ทำบุญ รักษาศีล 5 เป็นอย่างน้อย สิ่งที่จะชีวิต ดี เพราะทำแต่ความดีสั่งสมบุญ  ละกระทำไม่ดี บาปทั้งหลาย ครอบครัว สังคม ประเทศ และ โลก จะดี พบกับสันติสุข อย่างแน่นอน

..เพราะบุญ คือ เบื้องหลังความสุข ความสำเร็จ ในชีวิตทุกระดับ อย่างแท้จริง.. 

แชร์เรื่องบุญไปก็ได้บุญ 
บุญและทาน ที่บังเกิดมี ในการส่งต่อ ขอให้เป็นอภิมหาบุญ ขอให้ผู้ที่ส่ง  มีความสุข  มีความเจริญ  รุ่งเรือง  ร่ำรวย มีความสุขกายสบายใจ  มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่จน ปรารถนาสิ่งใด  สมความปรารถนาทุกๆประการ ขอให้ผลบุญนั้น เห็นผลทันตา ด้วยเทอญ (อธิษฐาน) สาธุๆๆ

วัดถ้ำในพระพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก!!

ถ้ำอชันตา วัดถ้ำในพระพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก!!


ถ้ำอชันตา (Ajanta Caves) เมืองออรังกาบาด รัฐมหาราษฎร์ ประเทศอินเดีย...ได้ชื่อว่าเป็น วัดถ้ำในพระพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก สร้างเมื่อ พ.ศ.๓๕๐ 

โดยพระภิกษุในสมัยนั้นได้ค้นพบสถานที่แห่งนี้ เห็นว่าเป็นสถานที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นอย่างยิ่ง จึงได้เจาะภูเขาเพื่อสร้างเป็นกุฏิ โบสถ์ วิหาร ฯลฯ เพื่ออาศัยอยู่อย่างสันโดษ 

เนื่องจากเป็นสถานที่ห่างไกลผู้คน ทำให้ประวัติศาสตร์หน้าต่อมาของ ศาสนาพุทธในอินเดีย ได้ปรากฏขึ้นในหมู่ถ้ำบริเวณฝั่งตะวันตกของที่ราบสูงเดกกัน เมืองออรังกาบาด รัฐมหาราษฎร์ แห่งนี้ 

ต่อมาเรื่องราวของ ถ้ำอชันตา ได้หายเงียบไป กลายเป็นถ้ำร้างที่ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และต้นไม้ปิดปากถ้ำ




...จนถึง พ.ศ.๒๓๖๒ จอห์น สมิธ นายทหารชาวอังกฤษได้เข้าป่าเพื่อล่าสัตว์ จนมาถึงบริเวณเทือกเขาแห่งหนึ่งบริเวณหมู่บ้านอชันตา และได้ค้นพบถ้ำแห่งนี้ด้วยความบังเอิญ 

ถ้ำเหล่านี้ถูกเจาะลึกเข้าไปในภูเขาเพื่อสร้างเป็นวัด มีวิหารขนาดใหญ่ ภายในเต็มไปด้วยงานแกะสลักหิน เป็นองค์เจดีย์ เป็นพระพุทธรูป และภาพจิตรกรรมฝาผนังถ้ำ เล่าเรื่องราวต่างๆ ในพุทธประวัติและชาดก และที่น่าแปลกใจ คือ ถ้ำเหล่านี้ซุกซ่อนตัวอยู่ที่นี่มานานถึงกว่า ๑,๕๐๐ ปี โดยไม่ถูกรุกล้ำจากผู้คนทั้งหลาย นับตั้งแต่จากวันที่ถูกทอดทิ้งให้รกร้างตลอดมา 




การค้นพบ หมู่ถ้ำอชันตา ในครั้งนั้นทำให้โลกต้องตื่นตะลึงกับความมหัศจรรย์ของศิลปะภายในวัดถ้ำ ที่ไม่มีใครเคยพบเห็น หรือรู้เรื่องมาก่อน 



ขณะเดียวกันก็ทำให้นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวของ ศาสนาพุทธ ในอินเดียได้อย่างชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น 

ด้วยการศึกษาจากภาพแกะสลักหินภายในถ้ำ ที่ยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์ ไม่ผุกร่อนพังทลายไปเหมือนพุทธสถานอื่นๆ เพราะทุกอย่างที่นี่ สลักขึ้นจากภูเขาทั้งลูก นับเป็นสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์ที่สุดในโลกก็ว่าได้

Cr Nirat Sasiratna

วันอังคารที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2560

พวกท่านเคยทำอะไรให้วัดให้พระท่านบ้างหรือเปล่า???

วิ่งตรวจสอบบัญชีวัดทุกวัด
แล้วเคยทำอะไรให้วัดให้พระท่านบ้างไหม?
........................................................
ขอบคุณท่านออมสิน!!!
ที่ยังอุตส่าห์เป็นห่วงภาพลักษณ์ของคณะสงฆ์อยู่
ถ้าท่านไม่ออกมาพูดคงเข้าใจว่า...
คณะสงฆ์คงถูกกลั่นแกล้งไปแล้ว

หากจะให้ดีกว่านี้ฝากท่านเป็นภาระอีกเรื่อง...
ก่อนที่จะออกมาพูดอะไร
ขอความเมตตาเสียเวลาตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบเสียก่อน

เพราะใช่แค่จะกระทบต่อพระสงฆ์หรือศาสนาเท่านั้น
แม้แต่ตัวของผู้ที่ออกมาพูดเองก็จะหมดความน่าเชื่อถือ

***ที่สำคัญพวกท่านวิ่งตรวจสอบบัญชีวัดทุกวัด
แล้วพวกท่านเคยทำอะไรให้วัดให้พระท่านบ้างหรือเปล่า?

--------------------------------------------------------------------------


cr.ตื่นเถิดชาวพุทธ - Wake Up Buddhist

มส.ชี้คนจะทำบุญน้อย หากตรวจสอบเงินบริจาค!!
มส.แนะพระสังฆาธิการไม่ต้องสร้างวัดหรู แต่สร้างวัดให้สะอาดรื่นรมย์ ต่อไปคนทำบุญน้อยเหตุวัดถูกตรวจสอบ!!



พระพรหมสิทธิ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค 10 ได้ให้โอวาทว่า พระสังฆาธิการมีเกียรติเพราะมีหน้าที่ที่รับผิดชอบ 

พระสังฆาธิการจึงต้องทำหน้าที่ตามเกียรติที่ได้รับมอบหมาย และต้องพึ่งตัวเองให้มาก..

พระสังฆาธิการทำอะไรที่ไม่ผิดพระธรรมวินัย ช่วยเหลืออะไรชาวบ้านที่ไม่ผิดพระธรรมวินัย ช่วยเหลือไม่ต้องสร้างวัดหรูหรา แต่สร้างวัดให้สะอาด รื่นรมย์

เพราะต่อไป ถ้าคนจะไม่ทำบุญบริจาคแล้ว วัดจะอยู่ยาก เพราะใครทำบุญบริจาคจะถูกตรวจสอบจนวัดอยู่ไม่ได้!!

..........................
(หมายเหตุ : ขอบคุณข้อมูลจากเฟซบุ๊ก สนง. ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศ) 

วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ขนฺติ หิตสุขาวหา >>ความอดทนนำมาซึ่งประโยชน์สุข!!!

วันนี้เรามีเรื่องมานำเสนอให้ได้อ่านกันค่ะ 
ในอีกชาติหนึ่งของพระโพธิสัตว์ที่เคยเกิดเป็น กระบือ. 

เรื่องนี้ อาจทำให้เราหลายๆ คนได้สติ และปัญญา จากขันติ และ เมตตาธรรม ของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ และเสวยพระชาติเป็น 'พญากระบือ'

เรามาลุ้นกันค่ะว่า ลิงจะตายไหม?? แล้วกระบือจะเป็นอย่างไร??

อรรถกถา มหิสชาดก ว่าด้วยเรื่อง "ลิงกับควาย"
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภลิงโลเลตัวหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า กิมตฺถมภิสนฺธาย ดังนี้. 

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกระบืออยู่ในป่าหิมพานต์

   พอเจริญวัยก็สมบูรณ์ด้วยกำลังแรง มีร่างกายใหญ่ท่องเที่ยวไปตามป่าทึบ เห็นโคนไม้อันผาสุกสำราญแห่งหนึ่ง เที่ยวหากินอิ่มแล้ว ในตอนกลางวันได้มายืนพักอยู่ที่ในโคนไม้นั้น

 ครั้งนั้นมีลิงโสนตัวหนึ่งลงจากต้นไม้ แล้วขึ้นบนหลังของกระบือนั้น ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรด จับเขาทั้งสองโหน จับหางแกว่งไปแกว่งมา กระบือมิได้ใส่ใจอนาจารของลิงนั้น เพราะประกอบด้วยขันติ เมตตา และความเอ็นดู
 

ครั้งวันหนึ่ง เทวดาผู้สิงอยู่ที่ต้นไม้นั้นยืนอยู่ที่ลำต้นของต้นไม้นั้น กล่าวกะกระบือนั้นว่า..

"พญากระบือ เพราะเหตุไรท่านจึงอดกลั้นต่อการดูหมิ่นของลิงชั่วตัวนี้ ท่านจงทำโทษมันเสีย" แล้วกล่าวต่ออีกว่า "เพราะเหตุใดท่านจึงอดกลั้นทุกข์ต่อลิงผู้มีจิตกลับกลอก มักประทุษร้ายมิตรประหนึ่งเจ้าของผู้ให้ความใคร่ทั้งปวง ท่านจงขวิดมันด้วยเขา จงเหยียบเสียด้วยเท้า ถ้าไม่ห้ามปรามมันเสีย สัตว์ทั้งหลายที่โง่เขลาก็จะเบียดเบียนร่ำไป"

  กระบือได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า..

   "ท่านรุกขเทวดา ถ้าเราเป็นผู้ยิ่งกว่าลิงตัวนี้ โดยชาติ โครต และวัสสายุกาล เป็นต้น จักไม่อดกลั้นโทษของลิงตัวนี้ไซร้ มโนรถความปรารถนาของเรา จักถึงความสำเร็จได้อย่างไร ก็ลิงตัวนี้เมื่อสำคัญแม้ผู้อื่นว่าเหมือนตัวเรา จักกระทำอนาจารอย่างนี้ 

  แต่นั้นมันจักกระทำอย่างนี้แก่กระบือดุร้ายเหล่าใด กระบือดุร้ายเหล่านั้นแหละจักฆ่ามันเสีย การที่กระบือตัวอื่นฆ่าลิงตัวนี้นั้น เราจักพ้นจากทุกข์และปาณาติบาต"

  ก็ต่อเมื่อล่วงไป ๒-๓ วัน กระบือได้ไปอยู่ในที่อื่น กระบือดุตัวหนึ่งได้มายืนอยู่ที่โคนต้นนั้น ลิงชั่วจึงขึ้นหลังกระบือดุตัวนั้น สำคัญว่ากระบือตัวนี้ ก็คือกระบือตัวนั้น แล้วกระทำอนาจารอย่างนั้นนั่นแหละ 

ทันใดกระบือดุตัวนั้นสลัดลิงนั้นให้ตกลงบนพื้นดิน เอาเขาขวิดหัวใจ เอาเท้าทั้ง ๔ เหยียบให้ละเอียดเป็นจรุณ!!

  อุทาหรณ์สอนใจจากธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้ ทำให้เราเห็นวิธีการแก้ปัญหา เช่น หากใช้วิธีแกล้งมาโกรธตอบ สุดท้ายก็มีแต่ความอาฆาตมาดร้ายตามมา 

  รวมทั้งการกระทำที่สร้างภพชาติต่อไปอีกไม่สิ้นสุด แต่ที่พญากระบือใช้ขันติและเมตตา จึงเป็นหนทางตัดภพชาติที่ดีที่สุด ไม่ก่อเวรกรรมในภายภาคหน้าอีกต่อไป

"ความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งไม่พอใจ ทำให้ไม่ต้องสร้างเวรภัยให้เกิด"

ขนฺติ หิตสุขาวหา ความอดทนนำมาซึ่งประโยชน์สุข

Cr. DhammaPerfect, Chotiroskovith.com, พระเจ้า 500 ชาติ

วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คำตอบของ "ความสุขที่หายไป" !!!

ขอเวลาแค่ 10 นาที
พบคำตอบของความสุขที่หายไป
.
.
ผู้หญิงคนหนึ่งที่เพียบพร้อม
ย้อนไป 30 ปีก่อน เงินเดือน 350,000 !!



วันหนึ่งเธอกลับพบว่าตัวเอง "อกหัก"

จากสมการความสุข ที่สังคมบอกว่า...

"ต้องเรียนหนังสือเก่ง เข้ามหาวิทยาลัยดี

มีตำแหน่ง หน้าที่ การงาน ชื่อเสียง 

มีรถ มีบ้าน ทั้งหมดนี้จะเท่ากับความสุข"

แต่วันที่มีทุกอย่าง ชีวิตกลับขาดหาย

กลายเป็นนิสัยไม่ดี ขี้โมโห คนถอยห่าง



เธอพลิกชีวิตกลับมาพบคำตอบได้อย่างไร?
ทั้งหมดนี้ ภายใน 10 นาที!!

บางทีมุมมองการใช้ชีวิตบนโลกในวันพรุ่งนี้
อาจเปลี่ยนไปเลยก็เป็นได้

คลิ๊กชมวีดีโอที่นี่
m.facebook.com/Romkunpeun/videos/1024165387674881/

ติดตามเรื่องเล่าเต็มๆ ในรายการเจาะใจ
https://www.youtube.com/watch?v=ZUazMBeVgug

Cr.ร่มกันเปื้ยน