วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560

บางคนได้ยินคำว่า ศีล 5 มาตลอดชีวิต!! แต่ไม่รู้เหตุผลว่า..>>> ทำไมต้องรักษาศีล 5

ทำไมต้องรักษาศีล 5 และศีล 5 มีความสำคัญต่อการแก้ปัญหาสังคมอย่างไร??



ศีลข้อ 1 ไม่ฆ่า 
สิ่งที่มนุษย์รักที่สุดคือชีวิต 
มนุษย์จึงต้องไม่ฆ่าทำลายชีวิตกัน
การรณรงค์ให้ประชาชนรักษาศีลข้อ 1 
คือการแก้ไข "ปัญหาอาชญากรรม" ล้นสังคมในระยะยา

ศีลข้อ 2 ไม่ลัก
ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ด้วยสมบัติ 
มนุษย์จึงต้องไม่ปล้นชิงทรัพย์ของผู้อื่น
การรณรงค์ให้ประชาชนรักษาศีลข้อ 2 
คือการแก้ไข "ปัญหาโจรกรรม" ล้นสังคมในระยะยาว

ศีลข้อ 3 ไม่ประพฤติผิดในกาม 
สิ่งที่มนุษย์รักยิ่งกว่าสมบัติคือครอบครัว 
มนุษย์จึงต้องไม่ล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น
การรณรงค์ให้ประชาชนรักษาศีลข้อ 3 
คือการแก้ไข "ปัญหาข่มขืนกระทำชำเรา" ล้นสังคมในระยะยาว

ศีลข้อ 4 ไม่พูดโกหก
ครอบครัวอยู่ได้ด้วยความจริงใจ 
มนุษย์จึงต้องรักษาความจริงใจด้วยการไม่โกหกกัน
การรณรงค์ให้ประชาชนรักษาศีลข้อ 4 
คือการแก้ไข "ปัญหาครอบครัวแตกแยก" ล้นสังคมในระยะยาว

ศีลข้อ 5 ไม่ดื่มสุรายาเมา 
สติคือเครื่องมือในการรักษาชีวิต สมบัติ ครอบครัว 
และความจริงใจในการอยู่ร่วมกันไว้ได้ 
มนุษย์จึงต้องไม่ดื่มสุรายาเมาอันเป็นเครื่องทำลายสติ
การรณรงค์ให้ประชาชนรักษาศีลข้อ 5 
คือการแก้ไข "ปัญหาอบายมุข" ล้นสังคมในระยะยาว

ศีล 5 คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ยังเป็นมนุษย์อยู่
ทำให้ไม่เป็นบุคลอันตรายแก่ผู้อื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคม
หากประชาชนหมดสิ้นจากศีล 5 เมื่อใด
ก็หมดสิ้นจากความเป็นมนุษยทันที

สามารถก่ออาชญากรรมได้ถึง 5 ปัญหาใหญ่
1. ฆ่าคนเพราะประสงค์ต่อการทำลายชีวิต 
2. ฆ่าคนเพราะประสงค์การต่อปล้นชิงทรัพย์
3. ฆ่าคนเพราะประสงค์ต่อการข่มขืนกระทำชำเรา
4. ฆ่าคนเพราะประสงค์ต่อการต้มตุ๋นหลอกลวงเอาทรัพย์
5. ฆ่าคนเพราะคลุ้มคลั่งขาดสติจากฤทธิ์ยาเสพติด

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าแค่คนๆ เดียวที่ไม่มีศีล 5 
ก็สามารถปัญหาสังคมได้น่ากลัวขนาดนี้
หากรัฐบาลมีความจริงใจ
จะแก้ปัญหาสังคมให้แก่ประชาชนจริงๆ
ก็ต้องแก้ทั้งต้นทางและปลายทาง

คนดีที่เสียไปแล้วก็หามาตรการฟื้นฟูตามกฎหมาย
คนดีที่ยังไม่เสียไปก็ต้องรณรงค์ปลูกฝังให้รักษาศีล 5

บุคลาการที่ชำนาญงานด้านนี้
ก็คือพระสงฆ์สามแสนรูปทั้งประเทศ
รัฐบาลควรเลิกนโยบายเบียดเบียนพระสงฆ์
และหันมาสนับสนุนให้พระสงฆ์
ได้ทำงานของพระสงฆ์อย่างเต็มที่

เพราะการสอนให้ประชาชนมีศีล 5 นั้น
รัฐบาลก็ทราบดีว่าไม่มีเวลาจะทำได้ 
เพราะยังมีภารกิจอื่นๆ อีกมากมาย
โดยเฉพาะปากท้องของประชาชน

ขณะที่พระสงฆ์มีเวลาที่จะทำได้
เพราะทำงานด้านนี้มาตลอดชีวิตอยู่แล้ว

ที่สำคัญก่อนหน้าที่รัฐบาลปัจจุบัน
จะเข้ามาบริหารประเทศนั้น 
พระสงฆ์ 3 แสนรูปทั้งประเทศ 
ได้เคยจับมือกันจัดทำโครงการ
"บวชพระ 1 แสนรูป" มาเป็นเวลา 10 ปีเต็มแล้ว 
โดยมิได้ขอใช้งบประมาณแผ่นดินสักบาทเดียว 
อันเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าคณะสงฆ์ทั้งประเทศทำได้

หากเพียงแต่รัฐบาลมีความห่วงใย
ต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาสังคมที่ต้นเหตุอย่างจริงจัง
โดยอาศัยฐานกำลังของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาช่วยขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอาชญากรรมในระยะยาวจริงๆ
---------------------------------------------------------------

Cr.Ptreetep Chinungkuro
6 มกราคม 2560
14.25 น.

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560

“มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก” เล็งศาสนาพุทธไว้ "ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีปรัชญาที่ลึกซึ้ง"!!+++

“มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก” เล็งศาสนาพุทธไว้หลังจากเป็นคนไม่มีศาสนามานาน!



เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เจ้าของFacebook ได้เปิดเผยเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับเรื่องศาสนา หลังจากที่เขาเขียนข้อความอวยพรวันคริสต์มาสลงในเฟสบุคของเขาเอง เมื่อวันหยุด 25 ธ.ค. ที่ผ่านมา

หลังจากนั้นก็ได้มีผู้ใช้ได้ถามเข้ามาถึงจุดยืนทางศาสนาของเขาว่า “คุณไม่เชื่อในพระเจ้าไม่ใช่เหรอ?” โดยเขาตอบว่าไม่ใช่ เขาไม่ได้เป็นผู้ไม่นับถือศาสนา หากแต่เขาได้รับการเลี้ยงดูจากชาวยิว ได้ผ่านช่วงเวลากับการตั้งคำถามกับสิ่งต่างๆ มามากมาย ซึ่งตอนนี้เขาเชื่อว่าศาสนาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก



โดยถ้าย้อนกับไปเมื่อปี 2015 เมื่อครั้งที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้เดินทางไปประเทศจีน เขาได้ไปสวดมนต์ขอพรพระพุทธรูปที่วัดในซีอาน ซึ่งเขาคิดว่าศาสนาพุทธว่าเป็นศาสนาที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีปรัชญาที่ลึกซึ้ง เขาเรียนรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนามาได้มาซักระยะนึงแล้ว และจะทำความเข้าใจในศาสนาพุทธนี้ให้มากขึ้น!

การปฏิบัติตนเบื้องต้นของชาวพุทธ
ท่ามกลางกระแสวิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลให้คนในสังคมมีความตึงเครียดมากขึ้น  คอลัมน์ ธรรมะพักใจ ขอแนะนำการปฏิบัติตนในเบื้องต้นของชาวพุทธ  ซึ่งควรมีการปฏิบัติตนให้เหมาะสม ดังนี้

1.การให้ทาน
2.การรักษาศีล
3.การศึกษาธรรมะ


การให้ทาน คือการสละทรัพย์สิ่งของสมบัติของตนที่มีอยู่ให้แก่ผู้อื่นโดยมุ่งหวังจะจุนเจือให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และความสุข ทานที่ได้ทำไปนั้น จะทำให้ผู้ทำทานได้บุญมากหรือน้อยเพียงใด  มีองค์ประกอบ 3 ประการ  คือ

 - 1 “วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์” สิ่งของทรัพย์สมบัติที่ตนได้สละให้เป็นทาน จะต้องเป็นของที่บริสุทธิ์ได้จะต้องเป็นสิ่งของที่ตนเองได้แสวงหา ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ในการประกอบอาชีพ

 - 2 “เจตนาในการสร้างทานต้องบริสุทธิ์” จุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภความตระหนี่เหนียวแน่น ความหวงแหนลงใหลในทรัพย์สมบัติของตน และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วย

- 3 “เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์” คำว่า “เนื้อนาบุญ” หมายถึง บุคคลผู้รับการทำทานนั้นเอง นับว่าเป็นองค์ประกอบข้อที่สำคัญที่สุด แม้ว่าองค์ประกอบในการทำทานข้อที่ 1 และข้อที่ 2 จะงามบริสุทธิ์ครบถ้วนดีแล้ว  กล่าวคือวัตถุที่ทำทานนั้นเป็นของที่แสวงหาได้มาด้วยความบริสุทธิ์ เจตนาในการทำทานก็งามบริสุทธิ์  แต่ตัวผู้ที่ได้รับการทำทานเป็นคนที่ไม่ดี ไม่ใช่ผู้ที่เป็นเนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ เป็นเนื้อนาบุญที่เลว ทานที่ทำไปนั้นก็ไม่ผลิดอกออกผลเท่าที่ควร 


การถือศีล “ ศีล” นั้นแปลว่า “ปกติ” คือ สิ่งหรือกติกาที่บุคคลจะต้องระวังรักษากาย วาจา ใจ ไม่ให้ทำร้ายผู้ใดหรือสัตว์ใด  จนเกิดความลำบากเดือดร้อนหรือล้มตาย โดยรักษาตามเพศและฐานะ ศีลนั้นมีหลายระดับคือ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 และศีล 227 การถือศีลนี้เป็นการเพียรพยายามเพื่อระงับกิเลสหยาบไม่ให้กำเริบขึ้น  

 และเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงขึ้นกว่าการให้ทาน  ในเบื้องต้นโดยทั่วไป  เราควรมีศีล 5 ซึ่งเป็นคุณธรรมที่เป็นปกติของมนุษย์ที่จะต้องทรงไว้ให้ได้ตลอดไป  ดังนั้นบุคคลที่ไม่มีศีล 5 ไม่เรียกว่ามนุษย์


* ศีลข้อที่ 1 ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
* ศีลข้อที่ 2 ไม่ฉ้อโกงลักขโมย
 * ศีลข้อที่ 3 ไม่ประพฤติผิดลูกเมีย-ผัว ผู้อื่น
 * ศีลข้อที่ 4 ไม่โกหกหลอกลวง
 * ศีลข้อที่ 5 ไม่เกี่ยวข้อกับสิ่งเสพติดของมึนเมาให้โทษ

การรักษาศีลทำได้ 2 วิธี คือ

1.การอธิษฐานศีล คือ การตั้งใจด้วยตัวเองว่าจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบรูณ์
2.การสมาทานศีล คือ การรับศีลจากพระภิกษุสงฆ์
การรักษาศีลควรเลือกปฏิบัติตามความหเมาะสม ในการดำเนินชีวิตในสังคม แต่ก็ไม่ควรปล่อยปละจนกลายเป็นไม่เห็นความสำคัญของศีล เลย



การศึกษาธรรมะ
 ธรรมะที่องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงนั้น   มีทั้งธรรมะในเบื้องต้น ธรรมะในระดับกลาง และธรรมะขั้นสูงสุด  ซึ่งการที่เราจะเข้าใจธรรมะขั้นใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง 

ธรรมะที่เป็นหลักใหญ่ในพระพทธศาสนา คือ อริยสัจ 4 คือ ความจริง 4 ประการ 

* ทุกข์  ได้แก่ ความเกิด ความแก่ ความตาย ซึ่งมีเป็นธรรมดาของชีวิตและความเศร้าโคก  ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย  ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ  ซึ่งมีแก่จิตใจและร่างกายเป็นครั้งคราว   ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ  ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ  มีความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น  ซึ่งก็คืออุปทานขันธ์ทั้ง 5 นั่นเอง

* สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา ความดิ้นรน ทะยานอยากของจิตใจ คือ ดิ้นรนทะยานอยาก เพื่อที่จะได้สิ่งปรารถนาอยากได้  ดิ้นรนทะยานอยากเพื่อจะเป็นอะไรต่างๆ ดิ้นรนทะยานอยากที่จะไม่เป็นภาวะที่ไม่ชอบต่างๆ


* นิโรธ ความดับทุกข์ ได้แก่ ดับตัณหา ความดิ้นรนทะยานอยากดังกล่าว


* มรรค ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้แก่ ทางมีองค์ 8 คือ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ เพียรพยายามชอบ สติชอบ ตั้งใจชอบ


ธรรมะที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสแสดงไว้นั้น เป็นความจริงทุกประการ  แต่การที่เราจะเข้าใจได้ทั้งหมดนั้น  ไม่ใช่เรื่องง่าย การที่เราศึกษาธรรมะ  ก็เพื่อพัฒนาจิตใจของเราให้ดียิ่งขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจหลักธรรม ของพระองค์ได้จนกระทั่งเข้าสู่จุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา นั่นก็คือ นิพพานนั่นเอง

ที่มา : จุลสารก๊าซไลน์
http://www.vcharkarn.com/varticle/39418
http://www.atimedesign.com/webdesign/zuckerberg-no-atheist/

วัดไม่ได้ทำลายป่า การขับไล่ให้ท่านออกไป เป็นทางออกหรือ???


วัดถ้ำเนรมิต ฟังดูเหมือนอยู่กลางป่าเขา
แท้จริงแล้ว อยู่ติดถนนหลวง ไกล้กับ อบต.แม่กระบุง และโรงเรียนบ้านต้นมะพร้าวประมาณ1 กม.



เป็นวัดเล็กๆ ขึ้นทะเบียนวัดจากกรมการศาสนาตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 มีสิ่งปลูกสร้างธรรมดา ไม่ได้หรูหราใหญ่โตอะไร ด้านข้างเป็นที่ดินของชาวบ้าน มีเพียงด้านหลังที่ติดกับภูเขา และพระก็ไม่ได้แผ้วถาง มีแต่ปลูกต้นไม้เพิ่ม เพื่อให้เกิดความร่มรื่น



แต่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ประกาศยึด ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง 
และให้พระสงฆ์ทั้งหมด ออกจากพื้นที่ อ้างไม่ได้ขอเป็นพุทธอุทยาน


เรื่องนี้ท่านรองปลัดฯยุติธรรมให้ความเห็นว่า

"ถ้าวัดนี้มิได้เป็นการทำลายป่า และบริเวณโดยรอบยังคงรักษาความเป็นป่าไว้ได้...และวัดก็เป็นส่วนหนึ่งของการรักษา

ข้อพิจารณาระหว่างการให้ท่านไปขอเป็นพุทธอุทยานตามกฎหมาย กับการขับไล่ให้ท่านออกไป เป็นทางออกทางปกครองได้หรือไม่?

เพราะทรายทุกเม็ดมันเกิดจากความเชื่อและศรัทธา เกรงว่ามันจะบานปลายใหญ่โตครับ"



โดย:นายธวัชชัย ไทยเขียว
รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม