วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

น้ำตาชาวพุทธ

ชาวพุทธที่รักทั้งหลาย ท่านสังเกตุไหมว่า เหตุใดพระดังๆจึงถูกทำลายล้างมาแล้วหลายองค์   


ทนายติดตามข่าวพระดังมาตลอด ท้ายสุดเป็นมวยล้มต้มคนดู คือ เมื่อทำลายชื่อเสียงของพระได้แล้ว ทุกอย่างก็จบ 

ตัวทำลายพระดังเกือบทั้งนั้น เป็นสื่อรับจ้าง!!  

คดีหลวงพ่อธัมมชโย เห็นได้ชัดเจนว่า สื่อจะลงข้อมูลเดียวกันและในเวลาใกล้เคียงไล่เรียงกันไป

แสดงว่าสื่อได้รับข้อมูลมาจากแหล่งเดียว และเป็นข้อมูลที่ให้ร้ายหลวงพ่อฯ ทั้งนั้น 

ใครอยู่เบื้องหลังสื่อดังกล่าว น่าคิดนะ  เหตุผลว่า ทำไปทำไม ทำไมถึงต้องทำ

มันเป็นการยากที่จะเดา  แต่ท้ายสุดชื่อเสียง กับ ผลประโยชน์ มันเป็นสิ่งที่เย้ายวน

เวลานี้ชาวพุทธส่วนหนึ่ง ก็ยังหลงผิด คิดวัดพระธรรมกายในเชิงร้าย
ไม่ยอมรับความจริงว่า มีการวางแผนทำลายเพื่อให้พุทธอ่อนแอ

พุทธเราจะใหญ่และเติบโตกว่านี้ไม่ได้ ต้องมีอันเป็นไปทุกที!?

ใครจะว่าหลวงพ่อสอนผิดสอนถูก >>ทนายไม่ทราบ.


>>ทราบแต่เพียงว่า ถ้าวัดพระธรรมกายถูกทำลายเหมือนเส้าหลิน กว่าศาสนาพุทธสายมหายานในประเทศจีน จะกลับมาฟื้นฟูได้อีก ก็เป็นเวลาหลายร้อยปี<<

ทุกวันนี้ศาสนาพุทธในประเทศจีนจึงอ่อนแอมาก เพราะถูกลัทธิคอมมิวนิสต์ทำลายไปอีกดอก..  

อย่าทำลายพุทธศาสนาในประเทศไทยอีกเลย   ปล่อยให้ศาสนาเดินในทางของศาสนาเอง  อย่าเอาทางโลกไปครอบงำศาสนาเลย

เป็นพระดีพระดัง แทนที่จะสนับสนุนสร้างพุทธศาสนาให้ยิ่งใหญ่ กลับ รับจ้างมาทำลาย ด้วยมือของชาวพุทธเอง  อนาถครับ


ทนายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล 

ศุกร์ ๒๕ พย.๕๙    ๑๖.๒๔  น.

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

“รอดตายเพราะสวดมนต์” เรื่องเล่า อานิสงส์ของการสวดมนต์ที่เกิดขึ้นจริง

คุณเชื่อเรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ไหม??

เรื่องราว อานิสงส์ของการสวดมนต์ ต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับ คุณวิชาญ ฤทธิรงค์ อดีตประธานชมรมพุทธศาสตร์ ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง



ด้วยกิจกรรมของชมรม ที่มีการนิมนต์พระสงฆ์มาเทศนา และสอนวิธีการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน สัปดาห์ละ1 – 2 ครั้ง หลังเลิกงาน คุณวิชาญจึงไม่ลืมที่จะนำแนวทางแห่งพุทธศาสนา มาปฏิบัติเป็นประจำทุกวัน นั่นก็คือ การสวดมนต์

คุณวิชาญเริ่มฝึกการสวดมนต์ภาวนา ด้วยการสวดบทพาหุงและบทอิติปิโส ในจำนวนครั้งเท่ากับอายุตัวเองบวกหนึ่งจนจบ จากนั้นต่อด้วยบทแผ่เมตตา ให้เจ้ากรรมนายเวร และผู้ที่เคยโกรธเกลียดกันมาก่อน ยิ่งไม่ชอบหน้ากันมากเท่าไร คุณวิชาญก็ยิ่งสวดมนต์แผ่เมตตาให้เขามากขึ้นเท่านั้น

ผลของการสวดมนต์ ไม่เพียงทำให้คุณวิชาญได้รับความเมตตาจากคนที่เขาเคยโกรธ เคยไม่ชอบหน้าเท่านั้น ทว่าอานิสงส์ของการสวดมนต์ ยังส่งผลไปถึงลูกสาวของคุณวิชาญที่อยู่ไกลถึงรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย

เหตุการณ์ในครั้งนั้นเริ่มขึ้นจากวันหนึ่งลูกสาวคุณวิชาญโทรศัพท์มาจากอเมริกา เพื่อขอให้ผู้เป็นพ่อซื้อรถยนต์ให้ใช้ขณะอยู่ที่นั่น แต่คุณวิชาญปฏิเสธไปว่าไม่เห็นด้วย เนื่องจากลูกสาวเพิ่งย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ยังไม่คุ้นกับถนนหนทางดีนัก

หนึ่งเดือนผ่านไป หลังจากที่โครงการซื้อรถยนต์ต้องล้มเลิก คุณวิชาญก็ไม่ได้โทรศัพท์ไปหาลูกสาวอีกเลย แต่อยู่ๆ ขณะที่คุณวิชาญกำลังสวดมนต์ และภาวนาขอให้พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์คุ้มครองลูกสาว เช่นที่เคยปฏิบัติ


 จิตใจของคุณวิชาญกลับรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ไม่สงบนิ่งเหมือนครั้งก่อนๆ ทว่า คุณวิชาญก็พยายามควบคุมสติ แล้วเริ่มต้นสวดมนต์อีกครั้ง กลับไปกลับมาจนจบบท


 พร้อมด้วยลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นในใจว่า คงจะเกิดอะไรขึ้นสักอย่างกับลูกสาว ยิ่งคุณวิชาญได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ และรูปของลูกสาวด้วยแล้ว ความรู้สึกคิดถึงลูกจับใจ ก็ผุดขึ้นมาอย่างประหลาด

เมื่อไม่ได้รับการติดต่อจากลูกสาว คุณวิชาญจึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปที่หอพักของมหาวิทยาลัย คนที่รับสายคือเจ้าหน้าที่หอพัก น้ำเสียงรีบร้อนบอกว่า จะไปตามลูกสาวให้มารับสาย จากนั้นไม่กี่นาที เสียงจากปลายสายก็ดังเข้ามาเป็นเสียงลูกสาวของคุณวิชาญอย่างที่คาด แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรกัน ลูกสาวก็ส่งสายต่อให้ผู้ประสานงานที่ทำหน้าที่ดูแลเด็กนักเรียนต่างชาติ

“คุณพ่อใจเย็นๆ อย่าเพิ่งดุลูกสาวนะคะ เธอกำลังตกใจอยู่ ”

ผู้ประสานงานเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก พร้อมกับบอกว่า ลูกสาวคุณวิชาญเพิ่งรอดตายอย่างน่าอัศจรรย์จากอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันกลางสี่แยกของมหาวิทยาลัยโดยคู่กรณีที่ถูกชนนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บและความเสียหายแต่อย่างใด


 ส่วนลูกสาวคุณวิชาญนั้นมีเพียงแผลฟกช้ำดำเขียวเล็กน้อย แต่รถยนต์ที่ขับมานั้นขาดเป็นสองท่อน สภาพไม่ต่างจากเศษเหล็ก!

วันที่เกิดเหตุเป็นวันที่ลูกสาวคุณวิชาญแอบไปซื้อรถยนต์และเพิ่งขับออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่มีประกันใดๆ ด้วยความรีบร้อนจะกลับให้ถึงมหาวิทยาลัยก่อนค่ำ ทำให้เธอขับรถด้วยความเร็วสูง

 เมื่อใกล้ถึงสี่แยกจึงไม่ทันระวังและฝ่าไฟแดงไปประสานงากับรถของอีกฝ่ายอย่างแรง จนรถที่ทำจากเหล็กชั้นดีฉีกเป็นสองท่อนตรงบริเวณหลังของคนขับพอดิบพอดีผู้ที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็กรูกันเข้ามาช่วยโดยที่ไม่คิดว่าจะมีใครรอดชีวิตจากอุบัติเหตุในครั้งนี้

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ที่มุงดูประหลาดใจเป็นอันมากก็คือภาพของลูกสาวคุณวิชาญที่ค่อยๆ ปลดเข็มขัดนิรภัยและก้าวลงจากรถโดยที่แทบจะไม่มีบาดแผลตามตัวเลยแม้แต่น้อย นอกจากสีหน้าที่แสดงอาการตื่นตกใจอย่างที่สุด

ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ วันและเวลาที่เกิดเหตุตรงกับช่วงเวลาที่คุณวิชาญกำลังสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ลูกสาวอยู่ที่เมืองไทยพอดิบพอดี!



การท่องบทสวดมนต์ก่อนนอนจะช่วยให้เรามีสมาธิ จิตใจสงบ ผ่องใส อีกทั้งยังเป็นการแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้ทำมาในแต่ละวันให้กับเพื่อนมนุษย์ หรือสรรพสัตว์ต่างๆ บนโลก

 เมื่อเรามีสมาธิ จิตใจเย็นลง จะทำให้เรานอนหลับสบาย ตื่นเช้ามาจะรู้สึกสดใส พร้อมที่จะสู้ไปกับงาน หรือการเรียนได้อย่างมีความสุข 

 ซึ่งในบทสวดมนต์นั้นไม่ว่าจะเป็นบทใดก็ตามล้วนแล้วแต่มีอานุภาในตัวเองอยู่มากมาย อีกทั้งยังแฝงไปด้วยข้อคิดดีๆ ที่จะเป็นหลักนำทางให้เราดำเนินชีวิตในทุกๆ วันไปได้อย่างราบรื่น

 ฉะนั้น การสวดมนต์ก่อนนอนถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งปฏิบัติทุกวันก็จะส่งผลที่ดีในเรื่องของสมาธิ ปัญญา ทำให้ใจของเราสามารถพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างละเอียด รอบคอบ และใจเย็นมากขึ้น

เรื่อง นู๋กล้วย เรียบเรียงจากหนังสือ “กฎแห่งกรรม – ธรรมปฏิบัติ” เล่มที่ 10, หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม แห่งวัดอัมพวัน

Cr. www.goodlifeupdate.com/

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ศาสนามีภัย เห็นชัดเจนมาก!! "จดหมาย" ที่ได้รับจากชายคนหนึ่ง !!

อ่านเฟซท่านเจ้าคุณประสาร ที่ได้รับจดหมายจากชายคนหนึ่ง อ่านแล้วพูดไม่ออกบอกไม่ถูก!
  

ศาสนามีภัย เห็นชัดเจนมาก!!
เดี๋ยวนี้ชาวพุทธกล้าเขียนจดหมายไปเยาะเย้ยถากถาง อยากให้พระผู้ใหญ่ถึงติดตุกติดตะรางกันแล้ว!!

แต่จดหมายที่เจ้าคุณประสารได้รับ ยังไม่กล้ายืนยันว่าเป็นของชาวพุทธแท้จริงหรือเปล่า? แต่เป็นของคนไทยแน่นอน!!

เจ้าคุณไม่ได้ทำผิดอะไร เพียงแต่มีความเห็นต่างบางเรื่องกับทางบ้านเมืองเท่านั้น!



แค่นั้นเองหรือ ถึงจะเอากันถึงสึกติดคุกติดตะรางเลย ??

ทนายคิดว่า บางเรื่องผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอาจได้รับข้อมูลผิดๆ แถมมีพวกขุนพลพลอยพยัก และพวกได้รับผลประโยชน์ คอยช่วยเสริม ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายทั้งอาณาจักรและศาสนจักร!!

เจ้าคุณได้ถ่ายคลิปขอความเห็นใจขอให้ท่านได้มีสิทธิแสดงความเห็นบ้าง ในเรื่องการปกป้องพระพุทธศาสนา.



โดยยืนยันว่า จะทำด้วยความสงบ สันติฯ และขอเพียงเสรีภาพ เพื่อพระศาสนาเท่าน้้นฯ

อนาจไหมครับ! พระผู้ใหญ่ต้องมาร้องขอเสรีภาพ และขอความเคารพจากชาวพุทธด้วยกันนั้น หมายความว่า ชาวพุทธด้วยกันเองยังถูกปั่นให้แตกแยกในเรื่องความคิด ออกเป็น หลายฝ่าย




และแต่ละฝ่ายจ้องโจมตีทำลายล้างกันเอง!
แล้วอย่างนี้ศาสนาของเราจะเป็นอย่างไร ไม่สงสารพระสงฆ์ก็เคารพศาสนาบ้างนะ เราชาวพุทธทั้งหลาย**



ทนายคิดว่าในชั้นลูกหลาน ศาสนาพุทธคงเหลือคนนับถือไม่ถึงครึ่ง และค่อยๆเป็นศาสนาอันดับสอง.

ไม่ใช่ภัยจากศาสนาอื่นนะครับ แต่เป็นภัยจากคนในศาสนาด้วยกันเองที่ช่วยกันทำลายล้าง จนลูกหลานหมดสิ้นศรัทธา หันไปนับถือศาสนาอื่นกันหมด



เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราในยุคนี้ คงไปจากโลกนี้เกือบหมดแล้ว เหลือเพียงตำนานเกี่ยวกับศาสนาพุทธในประเทศไทย

 ให้ลูกหลานได้ศึกษาว่า ครั้งหนึ่งในอดีตที่ผ่านมา เมืองไทยเคยเป็นเมืองพุทธที่ยิ่งใหญ่ แต่ต้องกลายเป็นศาสนารองเหตุเพราะ พุทธทำลายพุทธ

ทนายนิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล 
อังคาร ที่ ๒๒ พย.๕๙ ๑๒.๓๖ น.

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

คนแห่ร่วม "ปล่อยโคมลอย" >>> ขึ้นฟ้ารับประเพณียี่เป็ง!!

ร่วมปล่อยโคมลอยขึ้นฟ้ารับประเพณียี่เป็ง"





ที่ธุดงค์สถานล้านนา อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จัดกิจกรรมปล่อยโคมไฟลอยขึ้นเนื่องในประเพณีลอยกระทงหรือยี่เป็งของจังหวัดเชียงใหม่ 



โดยในวันนี้เป็นรอบพิเศษของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือกรุ๊ปทัวร์ที่มีใบอนุญาตเท่านั้น โดยประเพณีเริ่มที่กิจกรรมของพระสงฆ์สวดมนต์ไหว้พระโดยมีล่ามแปลภาษาทั้งอังกฤษ จีน และญี่ปุ่นให้นักท่องเที่ยวได้ทราบกิจกรรมทั้งหมด


 จากนั้น ร่วมกันเวียนเทียนและร่วมกันปล่อยโคมลอยจำนวนมากลอยขึ้นสู่ฟ้าพร้อมกัน สว่างไสวสวยงามอย่างมาก

 โดยมีนักท่องเที่ยวต่างเก้บภาพความประทับใจและการปล่อยโคมดังกล่าวด้วยเพื่อเผยแพร่ในที่ต่างๆ โดยทางจุดดังกล่าวเป็นจุดที่ขออนุญาตการปล่อยโคมไฟ 1 ใน 7 จุดที่ได้รับการอนุญาตในเขตจังหวัดเชียงใหม่



การลอยโคมของชาวล้านนาเป็นการปล่อยโคมขึ้นไปสู่ท้องฟ้า แทนการลอยกระทงในลำน้ำอย่างประเพณีของคนภาคกลาง ชาวล้านนาเชื่อว่าการจุดโคมลอย แล้วปล่อยขึ้นฟ้า เป็นการบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี บนสวรรค์ และยังเป็นการปล่อยทุกข์ปล่อยโศก และเรื่องร้าย ให้ออกไปจากตัว



 ชาวล้านนาเชื่อกันว่า ในวันประเพณียี่เป็ง ชาวล้านนาที่เกิดปีจอต้องนมัสการพระธาตุแก้วจุฬามณีซึ่งเป็นสถานที่บรรจุมวยผมของเจ้าชายสิทธัตถะที่ปลงออกก่อนจะบวช แต่เนื่องจากเจดีย์นี้เชื่อกันว่าอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์



 ชาวล้านนาที่เกิดปีจอจึงต้องอาศัยโคมลอยปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าแทนเครื่องบูชาพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี

 ตัวโคมทำจากกระดาษสาสีสันสวยงาม ติดบนโครงไม้ไผ่ ตรงกลางโคมจะมีตะเกียงติดชนวนสำหรับจุดไฟ เมื่อจุดไฟที่ตะเกียง ความร้อนจะดันพาโคมลอยให้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

Cr:แหล่งข่าวเชียงใหม่นิวส์

 เส้นทางบุญ
@Pathofboon

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

“ถือ” ศีลแปด อย่างไร ไม่ต้องเมื่อย!!

“ถือ” ศีลแปด อย่างไร ไม่ต้องเมื่อย!!

การ  “ถือ” ศีลแปด นั้น แค่ฟังก็เหนื่อยหนักแล้ว เพราะอะไรที่เราถือไปนานๆ ก็ย่อมเมื่อยเป็นธรรมดา เอาอย่างนี้ดีไหม เปลี่ยนจาก “ถือ “ มาเป็น “รู้สึก” ในศีลให้ได้จะดีกว่า



คู่มือถือศีลแปดแบบไม่เมื่อย

1. มีศีลก่อนจะสาย พระพุทธองค์ตรัสว่า “ผู้ไม่มีศีล ไม่มั่นคงถึงจะเป็นอยู่ตั้งร้อยปี ส่วนผู้มีศีล เพ่งพินิจ มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่า” 

 ตอนแรกเกิดเรามีศีลสมบูรณ์ครบถ้วนได้คะแนนเต็มร้อยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก่อนตายอย่าปล่อยให้คะแนนติดลบ..


2. รักษาศีลวันละนิด จิตแจ่มใส เมื่อรู้ตัวว่ายังไม่มีศีล จงใช้ศีลห้าหรือศีลแปดเป็นเครื่องเตือนใจ 


 แต่ละวันให้เราตรวจสอบตัวเองว่าละเมิดศีลห้าข้อใดบ้าง และท้าทายตัวเองด้วยการรักษาศีลแปดเดือนละ 1 - 2 ครั้ง


3.ข้อเดียวคลุมหมด ในคำสมาทานศีลจะมีคำว่า “วิสุง วิสุง” แปลว่า “ข้อใดข้อหนึ่ง” ต่อท้าย หมายความว่า ถ้าเรารักษาศีลได้อย่างบริสุทธิ์จริงๆ แม้เพียงข้อเดียวก็นับว่ารักษาศีลได้ครบถ้วนเพราะศีลทุกข้อส่งผลถึงกันหมด


4. รู้และเข้าใจก็เพียงพอ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเข้าใจและรู้สึกในศีลอย่างถ่องแท้ เราก็จะเลิกตั้งคำถามว่า ข้าวมื้อแรกต้องกินตอนพระอาทิตย์ขึ้นและเห็นลายมือแล้วใช่ไหม

 จะนอนฟูกบางๆ ได้ไหมจะทาแป้งเพื่อลดอาการคันได้หรือเปล่า ฯลฯ เพราะความสำคัญของศีลอยู่ที่ข้อปฏิบัตินั้นๆ ช่วยให้เราควบคุมจิตใจได้ดีขึ้นหรือไม่มากกว่า

 และแม้ว่าเราจะไม่ฆ่ามด ไม่ตบยุง ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ถ้าในใจไม่เกิดความเมตตากรุณา จะบอกว่าปฏิบัติศีลข้อแรกสมบูรณ์แล้วไม่ได้

5. ผิดไม่เป็นไร เริ่มใหม่ได้เสมอ เราสามารถสมาทานศีลใหม่ได้ทุกลมหายใจ ทุกครั้งที่ทำผิดพลาดหรือรู้ตัวว่าทำผิด

 เราสามารถบอกตัวเองให้เริ่มต้นใหม่ได้เรื่อยๆ ความตั้งใจจะส่งผลดีต่อตัวเราโดยธรรมชาติ

คู่มือรักษาศีลแปด มีข้อปฏิบัติเพียง 5 ข้อ แต่ข้อดีมีนับไม่ถ้วน หากคุณกำลังมองหาวิธีสร้างสิ่งดีๆ ให้ตัวเอง ไม่ต้องพึ่งหมอดู ไม่ต้องวิ่งแก้บน

 การปล่อยนกปล่อยปลาก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี ไร้โรคภัย และเลือกช่วงเวลาที่สะดวก ลองรักษาศีลแปดเป็นประจำ รับรองว่าจะมีสิ่งดีๆ เข้ามาหาคุณโดยไม่ทันรู้ตัว

เรื่องนี้ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ค่ะ.

บทความนี้ตัดตอนมาจาก “ชีวิตจะสดใส เพียงเปิดใจรับศีล 8” เคยตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Secret คอลัมน์ Feature เขียนโดย นภ

Cr. Good Life Update

เคล็ดลับพลิกความโกรธให้เป็นความเมตตา!!

เคล็ดลับพลิกความโกรธให้เป็นความเมตตา บทความดีๆ ดับความโกรธ ในใจ แล้วทำให้กลายเป็นความเมตตา!!

บทความเคล็ดลับพลิก ความโกรธ ให้เป็นความเมตตานี้ เขียนโดย ท่าน ว.วชิรเมธี เคยตีพิมพ์ในนิตยสาร Secret ในเรื่อง “อานิสงส์ของการเจริญสติ”




แท้ที่จริงเราทุกคนสามารถที่จะเป็นบุคคลที่สงบนิ่งได้ แต่เพราะไม่เคยได้รับการฝึก เราจึงไม่เคยรู้ว่าเราก็เป็นคนหนึ่งที่นิ่งได้เหมือนกัน คนที่นิ่งเป็น คนที่หยุดเป็นจะเป็นคนที่โชคดีมาก

 เพราะจะไม่ตกเข้าสู่ความรุนแรง ข้อดีของรถคือ วิ่งได้รวดเร็วแต่ข้อเสียก็คือ รถที่ไม่ยอมเบรกเป็นรถที่อันตราย


 การฝึกสมาธิเป็นวิธีเรียนรู้ที่จะทำให้เราติดเบรกให้ตนเอง คือรู้จักวิธีหยุดใจตัวเองให้หยุดในที่ที่ควรหยุด ระวังตัวในที่ที่ควรระวัง คนที่สามารถห้ามตัวเองได้ทุกครั้งที่จิตใจกำลังใฝ่ต่ำคือคนที่โชคดีที่สุดในโลก


เราลองสังเกตตัวเองว่า เราสามารถที่จะนิ่งได้ไหม สามารถที่จะสงบได้ไหม ถ้าทำได้ ขอให้รู้ว่านั่นคือสภาพเดิมแท้แห่งจิตใจของเราทุกคน


 เราควรเรียนรู้ที่จะนิ่งเราควรเรียนรู้ที่จะสงบอย่างนี้บ้างอย่างน้อยวันละ 3 - 5 นาที ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ เราจะเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งน่าชื่นชมมาก


เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกแย่กับชีวิต รู้สึกแย่กับเพื่อน รู้สึกแย่กับการทำงาน หรือกำลังตกอยู่ในความเครียดและอ่อนล้าจากการทำงานมากมาย

 ผู้เขียนอยากจะขอให้ลองหลับตาลงเบา ๆ สถานที่ไม่สำคัญ จะเป็นตรงไหนก็ได้ ในรถแท็กซี่ บนรถไฟ หน้าจอคอมพิวเตอร์ในสำนักงาน 

ขณะที่เรากำลังทะเลาะกับลูก ตอนที่เรากำลังเปิดฝักบัวฉีดน้ำใส่ตัวเพื่ออาบน้ำ หรือแม้กระทั่งตอนที่เราหลับตาลงนอนบนที่นอน ลองสละเวลากลับมาหายใจเงียบ ๆ คนเดียว

 เอามือแตะลงไปที่หน้าท้อง หายใจเข้าก็รู้ตัว หายใจออกก็รู้ตัว หากเราทำอย่างนี้ทุกวัน จะมากจะน้อยไม่สำคัญ รับรองได้ว่า ภายในสามวันเราจะเปลี่ยนเป็นอีกคน

 และเราจะเห็นว่าตัวเราเองมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าได้ตลอดเวลา เราจะมีสุขภาพจิตที่ดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราจะสามารถจัดการชีวิตได้ดีขึ้น และแน่นอนที่สุดเราจะกลายเป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดต่อคนรอบข้าง

คนที่สามารถจัดการความโกรธได้เปรียบเสมือนดอกกุหลาบแรกแย้มที่ใคร ๆ ก็อยากชื่นชม มีความนุ่มนวลอ่อนโยนเปรียบเสมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ


 ส่วนคนที่จัดการความโกรธไม่ได้เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน แม้จะมีแสงที่เป็นประโยชน์ต่อโลก แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

ใคร ๆ ก็มักจะชอบมองพระจันทร์แล้วบอกว่าพระจันทร์ส่องแสงเพื่อตัวฉันทั้งนั้น แต่ไม่มีใครมองพระอาทิตย์แล้วบอกว่าพระอาทิตย์ส่องแสงเพื่อฉันเลย

เราอยากเป็นพระจันทร์หรือพระอาทิตย์ ถ้าอยากเป็นพระจันทร์ ควรเรียนรู้ที่จะหายใจอย่างรู้สึกตัวทุกวัน อย่างน้อยวันละ 3 นาทีแล้วเราจะเห็นว่าชีวิตนั้นเราจัดการได้

 เราสามารถมีชีวิตที่ดีได้ในปัจจุบันขณะ แล้วถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ให้สังเกตว่าความโกรธของเราจะอายุสั้นลง ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่เราสามารถอยู่เหนือความโกรธได้


 ความเมตตาจะเข้ามาแทนที่ความโกรธ เหมือนกับพระประธานในวัดทุกวัด สังเกตให้ดี ไม่มีพระประธานองค์ไหนเลยที่หน้าบึ้งด้วยความโกรธ


 เราทุกคนมีศักยภาพที่จะเบิกบานกันทุกคน โปรดอย่าลืมศักยภาพที่จะเบิกบานศักยภาพนั้นมีอยู่ในตัวเรา ขอแค่เรามาเรียนรู้ที่จะหายใจอย่างมีสติ

การจะพลิกความโกรธให้เป็นความเมตตานั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างทำได้ยาก

 แต่ขอแนะนำว่า ให้ทำตามขั้นตอนที่ผู้เขียนแนะนำมาก่อนหน้านี้ก่อน จากนั้นเมื่อเราสามารถตั้งเนื้อตั้งตัวได้แล้ว

 จึงหันกลับมาทบทวนตัวเอง แล้วหันกลับไปทบทวนคนที่ทำให้เราโกรธ ว่าทั้งเขาทั้งเราต่างก็เป็นเพื่อนร่วมสังสารวัฏด้วยกันแท้ ๆ

เคล็ดลับพลิกความโกรธให้เป็นความเมตตา บทความดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี   ดับ ความโกรธ ในใจ 

Cr. Good Life Update

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องปลื้มๆ เกิดขึ้น ณ วัดอะมู เมืองทวาย ชายแดน เมียนมาร์

เรื่องปลื้มๆ เกิดขึ้น ณ วัดอะมู เมืองทวาย ชายแดน เมียนมาร์ กฐินพระเทพญาณมหามุนี หลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย !!




นับว่าเป็นกฐินครั้งประวัติศาสตร์ของวัดอะมู ที่จัดได้ยิ่งใหญ่มากๆ ทั้งพระ ทั้งโยม ต่างปลื่มปีติ 

ไม่คิดเลยว่า วัดป่าวัดดอย อยู่ไกลตัวเมือง ไม่มีไฟฟ้า แต่สามารถจัดงานได้อลังการขนาดนี้ 





พระเมียนมาร์ต่างบอกว่า ที่เมียนมาร์น่าจะจัดทอดกฐินแบบนี้บ้าง งานที่จัดได้เป็นระบบ ระเบียบ 

ทำอะไรพร้อมๆกัน น่าศรัทธามากๆ งานที่ทำให้ พระก็ปลื้ม โยมก็ปลื้ม... สุดยอดมากๆ




เรื่องปลื้มๆ เกิดขึ้นได้เพราะคุณครูไม่ใหญ่ได้เมตตามาเป็นประธานกฐิน ณ วัดอะมู แห่งนี้ 

และได้ทีมงานพระ(มหา)บุญประเสริฐ มาช่วยเนรมิตวัดป่า วัดดอย ให้เป็นดั่งสรวงสวรรค์ กราบอนุโมทนาบุญด้วยนะคะ




ถึงแม้ที่นี่จะไม่สะดวกสบาย แต่ทุกคนที่ได้มา ล้วนได้รับแต่ความ "ปลื้ม" กลับไปทุกรูป ทุกคน สาธุ..


**พิธีทอดกฐินเป็นงานบุญ 1 ปี มี 1 ครั้ง ท่านจึงจัดเป็น กาลทาน แปลว่า ถวายทานตามกาลสมัย และถือเป็นประเพณีของชาวพุทธที่สืบเนื่องติดต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล

เอาบุญมาฝากนะคะ ^^

Cr. Ao IDream

ศีล 8 …รักษาไปทำไมกันนะ??

สำหรับคนทั่วๆ ไป อย่าว่าแต่ศีลแปดเลยเพียงคำว่า “ ศีล ” คำเดียวก็อาจทำให้เบ้หน้า

แถมยังอาจสงสัยว่า ลำพังศีลห้ายังทำไม่ค่อยได้จะให้ถือศีลแปดทำไม??



เพื่อให้เกิดความกระจ่างในเรื่องของศีลแปด!! 

เราจึงได้สอบถามไปยัง พระมหาบูรณะ วัดฉิมทายกาวาส บางกอกน้อยกรุงเทพฯ 

พระภิกษุผู้เชี่ยวชาญด้านอรรถกถาธรรมบท ถึงใจความสำคัญของศีลข้อ 6, 7, 8 และเหตุผลของการรักษาศีลทั้ง 3 ข้อคือ

ข้อ 6 วิกาลโภชนา เวรมณี เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล คือตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่

เนื่องจากอาหารที่เรากินสองมื้อก็เพียงพอให้เรามีชีวิตรอด 

ในทางกลับกัน การบริโภคอาหารมื้อเย็นกลับเป็นการเพิ่มภาระในทางแสวงหา 

ข้อปฏิบัตินี้ช่วยคลายความยึดติดในเรื่องอาหารซึ่งถ้าเราทำได้ก็จะเป็นผลดีต่อการปฏิบัติธรรม 

เช่น กินน้อยทำให้ไม่ง่วง กินง่ายอยู่ง่าย ไม่ถูกกระตุ้นด้วยรสชาติของอาหาร

ข้อ 7 นจฺจคีตวาทิตวิสูกทสฺสนมาลาคนฺธวิเลปนธารณมณฺฑนวิภูสนฏฺฐานา เวรมณี เว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ การทัดทรงดอกไม้ของหอม และเครื่องลูบไล้ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง

สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องปรุงแต่งกิเลสความโลภ โกรธ หลงให้เติบใหญ่ 

การปฏิบัติตามข้อนี้เพื่อให้เราสามารถละวางความพึงพอใจต่อสิ่งเร้าภายนอกได้ง่ายขึ้น

ข้อ 8 อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี เว้นจากที่นอนอันสูงใหญ่ หรูหรา ฟุ่มเฟือย 

ข้อนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เรายึดติดกับการนอนซึ่งจะนำไปสู่เรื่องกามและความกำหนัด 

นอกจากนี้ยังเท่ากับเป็นการเพิ่มความใส่ใจการนอนหลับของเรามากขึ้น 

ถ้าเราเข้านอนอย่างมีสติก็เท่ากับเราได้รักษากาย วาจา ใจอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน

พระมหาบูรณะ อธิบายว่า 

“ถ้าได้ปฏิบัติศีลแปดเป็นระยะๆ เช่น สัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละ 2 - 3 ครั้ง 

จะทำให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้ากว่าเดิมมาก 

เพราะธรรมดาคนเราปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ยังไม่สามารถทำลายกิเลสได้

และหากรับประทานอาหารตามใจนั่งสบาย นอนสบายตลอดเวลา 

ใจก็จะเพลิดเพลิน ติดสุขเมื่อมีกิเลสเกิดขึ้นในใจ เราก็จะตามไม่ทันหรือรู้สึกตัวช้า 

เวลาทำสมาธิก็จะทำไม่ค่อยได้ มีแต่ความฟุ้งซ่าน

“แม้ยังไม่สามารถทำลายกิเลสได้ แต่เราก็สามารถใช้ศีลข่มได้ อันที่จริงเราสามารถรักษาศีลแปดที่ไหนเมื่อไรก็ได้ 

ไม่จำเป็นต้องนุ่งขาวห่มขาวหรือเข้าวัดเท่านั้น ให้มองว่าการรักษาศีลได้มากข้อขึ้นก็จะตัดความวุ่นวายได้มากขึ้น 

เป็นเครื่องมือช่วยทลายความทุกข์ ความกังวลใจที่ทับถมอยู่ในชีวิตประจำวัน 

ชาวพุทธควรที่จะมีโอกาสทดลองรักษาศีลแปด 

เพราะหากเทียบกันแล้วการทำทานเป็นร้อยครั้งพันครั้งก็ยังไม่ได้บุญเท่ากับการรักษาศีลเพียงครั้งเดียว 

และหากมีโอกาสได้เรียนรู้การนั่งสมาธิ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็จะยิ่งได้บุญมากชนิดเทียบกันไม่ได้”

บทความนี้ตัดตอนมาจาก “ชีวิตจะสดใส เพียงเปิดใจรับศีล 8” เคยตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Secret คอลัมน์ Feature เขียนโดย นภ

Cr. Good Life Update

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อนุโมทนากฐินสามัคคี ณ วัดเถรวาทพุทธวิหาร ประเทศเนปาล

วัดไทยลุมพินี ประเทศเนปาล Royal Thai Monastery

พระสงฆ์ชาวเนปาล ผู้จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส รับผ้ากฐินสามัคคี โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรีประเทศเนปาล และชาวเนปาลเข้าร่วมพิธีทอดกฐิน ณ วัดเถรวาทพุทธวิหาร




พิธีทอดกฐินสามัคคี วัดเถรวาทพุทธวิหาร เนปาล
วันอังคารที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๙ เวลา๐๘.๓๐ น.





 พระเดชพระคุณพระศรีโพธิวิเทศ (สุพจน์ กิตฺติวณฺโณ ป.ธ.๙) ประธานสงฆ์วัดไทยลุมพินี พร้อมคณะคุณปุณยานุช แซ่เฮง พร้อมญาติมิตร ประธานอัญเชิญผ้ากฐินสามัคคี 




 ทอดถวายแด่พระสงฆ์ชาวเนปาล ผู้จำพรรษากาลถ้วนไตรมาส โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรีประเทศเนปาล และชาวเนปาลเข้าร่วมพิธี ณ วัดเถรวาทพุทธวิหาร ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล

ขออนุโมทนาบุญกุศลในครั้งนี้ โดยพร้อมเพรียงกัน สาธุ...

Cr.วัดไทยลุมพินี ประเทศเนปาล Royal Thai Monastery

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เมื่อหลวงปู่ขาวพบพญานาค ที่ภูถ้ำค้อ

เมื่อหลวงปู่ขาวพบพญานาค ที่ภูถ้ำค้อ


หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภูถ้ำค้อ ที่เกี่ยวกับลูกหลานพญานาค ดังต่อไปนี้

คืนหนึ่ง ในระหว่างที่หลวงปู่นั่งสมาธิภาวนา ได้เห็นในนิมิตว่าบรรดางูใหญ่งูเล็กหลายพันตัว

พากันเลื้อยออกมาจากถ้ำเป็นขบวนยาวเหยียด

หลวงปู่ได้ถามในนิมิตว่า "จะไปไหนกันมากมายเช่นนี้ ?"

หัวหน้างูใหญ่ตอบว่า "พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นภูมินาค"

หลวงปู่ถามซ้ำอีกว่า "จะพากันไปไหน ทำไมไม่อยู่ที่เดิมนี้ ?"

งูตอบว่า "จะไปที่ห้วยอีตุ้ม เพราะตั้งแต่พระคุณเจ้ามาอยู่ในถ้ำนี้แล้ว พวกข้าพเจ้าอยู่ยากกินยาก"


หลวงปู่จึงถามว่า "เพราะอะไร ?"

งูตอบว่า "เพราะพวกข้าพเจ้าอยู่สูงกว่าพระคุณเจ้าผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ ทำให้ร้อนไปทั่วร่างกาย จึงขอลงไปอยู่ในที่ต่ำๆ จะได้ไม่เป็นบาป"

ในบรรดางูเหล่านั้นมีนาคหนุ่มตัวหนึ่งถูกมัดปาก โดยให้คาบก้อนหินอยู่ หลวงปู่เห็นว่าแปลกกว่านาคตัวอื่นๆ จึงถามหัวหน้าพวกเขาว่า "ทำไมจึงต้องมัดปากเขาไว้ด้วย ?"

หัวหน้าตอบว่า "มันดื้อมาก เกรงมันจะทำอันตรายพระคุณเจ้า"

หลังจากออกจากสมาธิแล้ว หลวงปู่ได้ยกเรื่องของนาคมาพิจารณาโดยละเอียด ท่านบอกว่าเรื่องของนาคนี้ไม่มีบรรยายไว้ในตำราเล่มใด ถ้าหากไม่ปฏิบัติสมาธิให้ถึงขั้นแล้ว จะไม่เห็นได้เลย เป็นสนฺทิฏฐิโก คือรู้เห็นเฉพาะตนเท่านั้น

การจำพรรษาของหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่ภูถ้ำค้อนั้น ท่านว่าได้ข้อธรรมอย่างมากเลยทีเดียว การพิจารณาค้นคว้าธรรมไม่ติดข้อง มีความรู้แปลกๆ หลายอย่าง รู้ทั้งเรื่องของโลกและรู้ทั้งเรื่องของโลกทิพย์

Cr.goo.gl/JRWYrY

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อานิสงส์หรือผลดีของ "การทอดกฐิน" >>พิธีบุญ ทางพระพุทธศาสนา!!

อานิสงส์หรือผลดีของการทอดกฐิน!!!

 การทอดกฐินถือเป็นการทำบุญพิเศษซึ่งผู้ทอดต้องตระเตรียมจัดทำเป็นงานใหญ่ ต้องร่วมมือกันหลายคนถึงจะสำเร็จ!


 จึงเชื่อกันว่า การทอดกฐินเป็นพิธีที่ก่อให้เกิดบุญที่มีอานิสงส์แรง!!

 ผลดีของการทอดกฐินนั้นมีหลายประการคือ ได้สงเคราะห์พระสงฆ์ผู้จำพรรษาให้ได้ผ้านุ่งห่มใหม่ ได้ชื่อว่าทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา

 ได้ชื่อว่าก่อให้เกิดความสามัคคีเพราะเป็น การร่วมมือกัน ทำคุณงามความดี


 และหากการถวายกฐินนั้น มีส่วนในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ก็จะได้ชื่อว่า มีส่วนช่วยรักษา ศาสนสถานและศาสนวัตถุ ให้ยั่งยืนต่อไป

 นอกจากนี้ การทอดกฐินมิได้มีอานิสงส์เฉพาะเจ้าของกฐินเท่านั้น แม้ผู้ชักชวนให้ผู้อื่นทอดกฐิน ก็ได้รับอานิสงส์เช่นกัน


 ดังหลักฐานใน "นรชีวกฐินทานชาดก" ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญญาสชาดก ได้เล่าเรื่องที่พระพุทธองค์เมื่อครั้งเสวยพระชาติเกิดเป็นนายนรชีวะอยู่ในครอบครัวยากจน

 แต่ได้ชักชวนเศรษฐี ที่มีความเลื่อมใส ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ

 ให้มีศรัทธา ถวายผ้ากฐิน แด่พระภิกษุสงฆ์ ที่มีพระพุทธองค์ ทรงเป็นประธาน เศรษฐีมีความยินดี จัดกฐินไปถวาย พระภิกษุสงฆ์และทูลถาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงผลหรืออานิสงส์ แห่งการถวายผ้ากฐิน


พระปทุมุตตรสัมพุทธเจ้าตรัสตอบว่า..

“บุคคลเหล่าใดปรารถนาหาความสุขนั้น ได้ถวายผ้ากฐินจีวรไว้ บุคคลเหล่านั้นจะพ้นจากความทุกข์

 เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ก็ย่อมจะถึงความสุขในหมู่เทวดาและมนุษย์ และจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิมีนรกเป็นต้น นี้เป็นผลแห่งกฐินทาน”

กฐินทานเป็นกาลทานอันยิ่งใหญ่
ที่ก่อให้เกิดอานิสงส์มากมาย
แก่ผู้ทอดถวาย

 เมื่อเศรษฐีได้ฟังอานิสงส์กฐินทานเช่นนั้น ก็มีใจชื่นบานยิ่งนัก


 ส่วนนายนรชีวะที่หมอบกราบแทบพระบาทของพระพุทธเจ้า ได้กราบทูลว่า ตนเป็นผู้ชักชวนให้เศรษฐีมาทำบุญสำเร็จด้วยกาย วาจา ใจ จึงขอตั้งวาจาธิษฐานว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยกุศลผลบุญที่ข้าพระองค์ได้ชักนำกุฎุมพี (เศรษฐี) ให้ถวายผ้ากฐินนี้

 ขอให้ข้าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในกาลภายหน้า แม้ข้าพระองค์ยังไม่ไปถึงความเป็นพระพุทธเจ้าตราบใด ชื่อว่าความเข็ญใจอย่าได้มีแก่ข้าพระองค์เลย พระเจ้าข้า”

พระปทุมุตตรสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ด้วยผลแห่งบุญนั้น นายนรชีวะจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าศากยมุนีในอนาคตกาล ก็คือพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายในปัจจุบันนี้นี่เอง

ขอบคุณภาพจาก google.com
Cr.kalyanamitra

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ความพิเศษและแตกต่างของ "กฐินทาน" จากทานอย่างอื่น

กฐินทานมีความพิเศษแตกต่างจากทานอย่างอื่น คือ ในปีหนึ่งแต่ละวัดสามารถรับกฐินได้เพียงครั้งเดียว !!



นอกจากนั้นยังมีความพิเศษอย่างอื่นอีก ได้แก่

 ๑. จำกัดประเภททาน คือ ต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้


 ๒. จำกัดเวลา คือ ต้องถวายภายในระยะเวลา๑ เดือน นับแต่วันออกพรรษาเป็นต้นไป


 ๓. จำกัดงาน คือ พระภิกษุที่กรานกฐินต้องตัด เย็บ ย้อม และครองให้เสร็จภายในวันที่กรานกฐิน


 ๔. จำกัดไทยธรรม คือ ผ้าที่ถวายต้องถูกต้องตามลักษณะที่สงฆ์กำหนดไว้


 ๕. จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐินต้องเป็นผู้ที่จำพรรษาในวัดนั้นโดยไม่ขาดพรรษา และมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๕ รูป


 ๖. จำกัดคราว คือ วัดวัดหนึ่งรับกฐินได้เพียงปีละ ๑ ครั้งเท่านั้น


 ๗. เป็นพระบรมพุทธานุญาต ทานอย่างอื่นทายกทูลขอให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต เช่นมหาอุบาสิกาวิสาขาทูลขออนุญาตถวายผ้าอาบน้ำฝน


 **แต่ผ้ากฐินนี้พระองค์ทรงอนุญาตเอง ไม่มีผู้ใดมาทูลขอ..

**พิธีทอดกฐินเป็นงานบุญที่มีปีละครั้ง ท่านจึงจัดเป็น กาลทาน แปลว่า ถวายตามกาลสมัย และถือเป็นประเพณีของชาวพุทธที่สืบเนื่องติดต่อกันมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล

ขอบคุณภาพจาก google.com
Cr.kalyanamitra

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มาทำความรู้จักกับความหมาย 4 อย่าง ของคำว่า “กฐิน”


 "กฐิน" มีความหมายเกี่ยวเนื่องถึง ๔ ประการ คือ

 ๑. กฐิน หมายถึง ไม้สะดึง คือกรอบไม้แบบชนิดหนึ่งสำหรับขึงผ้าให้ตึง เพื่อเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้เป็นเครื่องมือเย็บจีวรซึ่งมีลักษณะเป็นวงกลม เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง


ในสมัยก่อนการเย็บจีวรต้องใช้ไม้สะดึงขึงให้ตึงก่อนแล้วจึงเย็บ เพราะช่างยังไม่มีความชำนาญเหมือนสมัยปัจจุบันนี้

การทำจีวรในสมัยโบราณ ทั้งที่เป็นผ้ากฐินและมิใช่ผ้ากฐิน ถ้าภิกษุทำเองก็จัดเป็นงานที่เอิกเกริกเลยทีเดียว มีเรื่องเล่าไว้ในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๔ ว่า : 

ครั้งเมื่อพระอนุรุทธเถระได้ผ้าบังสุกุลมาและจะทำจีวรเปลี่ยนผ้าครองสำรับเก่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบและเสด็จไปเป็นประธานในวันนั้นพร้อมพระภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป และพระอสีติมหาสาวก

 เพื่อร่วมกันช่วยทำ โดยมีพระมหากัสสปเถระนั่งอยู่ต้นผ้า พระมหาสารีบุตรเถระนั่งอยู่ท่ามกลาง พระอานนทเถระนั่งอยู่ปลายผ้าพระภิกษุสงฆ์ช่วยกันกรอด้าย

 พระบรมศาสดาทรงสนเข็ม พระมหาโมคคัลลานเถระเป็นผู้อุดหนุนกิจการทั้งปวง แสดงถึงพลังความสามัคคีของพระภิกษุสงฆ์ อันเป็นพระพุทประสงค์ในการทำผ้ากฐิน

   ๒. กฐินที่เป็นชื่อของผ้า หมายถึง ผ้าที่ถวายให้เป็นกฐินภายในกำหนดกาล ๑ เดือนนับตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒



 ผ้าที่ถวายนั้นจะเป็นผ้าใหม่หรือผ้าเทียมใหม่ เช่น ผ้าฟอกสะอาดผ้าเก่า ผ้าบังสุกุลคือผ้าที่เขาทิ้งแล้ว ผ้าเปื้อนฝุ่นหรือผ้าตกตามร้านก็ได้ 

ผู้ถวายจะเป็นคฤหัสถ์ก็ได้ เป็นภิกษุหรือสามเณรก็ได้ เมื่อถวายแด่สงฆ์แล้วก็เป็นอันใช้ได้

     ๓. กฐินที่เป็นชื่อของบุญกิริยา คือการทำบุญ คือการถวายผ้ากฐินเป็นทานแด่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาอยู่ในวัดใดวัดหนึ่งครบ ๓ เดือน



เพื่อสงเคราะห์ผู้ประพฤติปฏิบัติชอบให้มีผ้านุ่งหรือผ้าห่มใหม่ จะได้ใช้ผลัดเปลี่ยนของเก่าที่จะขาดหรือชำรุด

 การทำบุญถวายผ้ากฐินหรือที่เรียกว่า “ทอดกฐิน” คือทอดหรือวางผ้าลงไปแล้วกล่าวคำถวายในท่ามกลางสงฆ์

 เรียกได้ว่าเป็นกาลทาน คือ การถวายทานที่ทำได้เฉพาะกาล ๑ เดือน ถ้าถวายก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้นไม่เป็นกฐิน ท่านจึงถือว่าหาโอกาสทำได้ยาก

  ๔. กฐินที่เป็นชื่อของสังฆกรรม คือกิจกรรมของสงฆ์ ซึ่งจะต้องมีการสวดประกาศขอรับความเห็นชอบจากที่ประชุมสงฆ์ ในการมอบผ้ากฐินแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง



 เมื่อทำจีวรสำเร็จแล้วด้วยความร่วมมือของภิกษุทั้งหลายทั้งนี้เพราะในสมัยพุทธกาลการหาผ้า การทำจีวรทำได้โดยยาก และไม่ทรงอนุญาตให้เก็บสะสมผ้าไว้เกิน ๑๐ วัน

 แต่เมื่อได้ช่วยกันทำสังฆกรรมเรื่องกฐินแล้ว ทรงอนุญาตให้แสวงหาผ้าและเก็บผ้าไว้ทำเป็นจีวรได้จนตลอดฤดูหนาวอีก ๔ เดือน (จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน๔) 

ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลงานบุญ กฐิน ขอเชิญชวนชาวพุทธทุกคน ขวนขวายสร้างบุญใหญ่ ด้วยการทอดกฐิน ณ วัดใกล้บ้าน 

กำหนดกฐินกาล ปี 2559 นี้ เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม 2559 ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 

ถึงวันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2559 ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็นวันสุดท้าย (วันลอยกระทง)

ขอบคุณภาพจาก google.com
Cr.kalyanamitra

เรื่องแปลกๆ ที่ชาวพุทธ(?) ไทยมักให้ความสำคัญกับอย่างอื่น มากกว่าพระธรรมคำสอน!!!

เรื่องแปลกๆ ที่ชาวพุทธ(?) ไทยมักให้ความสำคัญมากกว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เรานับถือพระพุทธศาสนากันจริงๆ หรือเปล่า?

เราบอกว่า เรานับถือ "พระพุทธศาสนา" เราบอกว่า "ฉันเป็นชาวพุทธ" แต่น่าแปลกที่เราเหมือนจะไม่ได้นับถือพระพุทธเจ้า ไม่ได้นับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ


ในชาดกหลายพระชาติแห่งการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ได้กล่าวถึงพระชาติที่เกิดเป็นพญานาค เช่นเสวยพระชาติเป็น ภูริทัตตนาคราช, เสวยพระชาติเป็นจัมเปยยนาคราช

เห็นชัดว่า นาคราชทั้งสองเรื่อง ท่านต่างก็รังเกียจสภาวะนาคของตนเองซึ่งเป็น "สัตว์เดรัจฉาน" และปรารถนาจะอุบัติเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะได้บำเพ็ญบุญกุศล ได้ปฏิบัติธรรม ดังข้อความหนึ่งในจัมเปยยชาดกว่า

[" เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าเสวยนาคราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น ในเวลาต่อมาก็เกิดวิปฏิสาร คิดว่า ประโยชน์อะไรด้วยกำเนิดดิรัจฉานนี้แก่เรา เราจักอยู่รักษาอุโบสถกรรม พ้นจากอัตภาพนี้ไปสู่ดินแดนมนุษย์ จักได้แทงตลอดสัจจธรรม กระทำที่สุดแห่งทุกข์ดังนี้ "]

 แท้ที่จริงแล้วพระพุทธศาสนามุ่งเน้นในศักยภาพของมนุษย์เป็นสำคัญ เพราะมนุษย์สามารถจะประกอบกิจการกุศลนานาประการ

 แม้แต่เทวดาก็ยังปรารถนาสุคติคือความเป็นมนุษย์ ดังในอังคุตตรนิกาย ติกนิบาต กล่าวถึงเทวดาเมื่อจะจุติ (ตาย) จากสวรรค์ไปเกิดใหม่ เทวดาเพื่อนก็จะบอกว่า ขอให้ท่านไปอุบัติในสุคติภูมิ คือโลกมนุษย์


 เพื่อจะได้ทำบุญทำกุศล ได้พบพระพุทธศาสนา ได้บำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรม


เมื่อเราศึกษาพระพุทธศาสนาจะเห็นว่า พระพุทธศาสนามุ่งจะพัฒนาศักยภาพของมนุษย์เป็นหลัก

 ให้มนุษย์มั่นใจว่าเราเป็นผู้ที่สามารถจะพ้นจากความทุกข์ได้ด้วยตัวเราเอง โดยไม่ต้องอาศัยไม่ต้องขอร้องอ้อนวอนผู้ยิ่งใหญ่ที่ไหน

 นั่นแสดงว่า มนุษย์สำคัญที่สุด ในแง่ที่ มีศักยภาพที่จะปฏิบัติธรรมที่จะหลุดพ้นด้วยตนเอง


ถ้าเราบอกว่า "ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธ" เราบอกว่า "ข้าพเจ้านับถือพระรัตนตรัย" เราเปล่งคำว่า "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ, ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ, สังฆัง สรณัง คัจฉามิ"

แต่เราไม่เคยรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นใคร ไม่รู้ว่าพระองค์สั่งสอนอะไร ไม่รู้หนทางปฏิบัติเพื่อที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ โดยที่มีพยานยืนยันคำสอนของพระองค์คือพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ


เรากลับไปไหว้พญานาค ไหว้พญาครุฑ ไหว้อะไรแปลกๆ ประหลาดๆ .. อย่างนี้จะเรียกว่าเรา "นับถือพระพุทธศาสนา" ได้จริงๆ หรือ?


ถ้าเราบอกว่าเรานับถือพระรัตนตรัย นั่นหมายความว่า เราจะไม่ไหว้สิ่งอื่น ไม่เคารพสิ่งอื่น นอกจากผู้ที่ควรบูชา เช่นบิดามารดา ผู้มีพระคุณ และพระรัตนตรัย

Cr.ภิกขุวีระวังสะ

ขอบคุณภาพจาก google.com