วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

พ่อค้าผ้าใจบุญ! ควักเงินส่วนตัว 28 ล้าน สมทบทุนคนไทย บูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ !!

พ่อค้าผ้าใจบุญ! ควักเงินส่วนตัว 28 ล้าน สมทบทุนคนไทย บูรณะพระบรมธาตุเจดีย์

  เผยมีความสุข ได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และตอบแทนคุณ แผ่นดินไทย


วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร หรือ ที่ชาวนครเรียกว่า วัดพระธาตุ โบราณสถานสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็น มิ่งขวัญชาวเมือง นครศรีธรรมราชตลอดจนพุทธศานิกชนทั้งหลาย

 สัญลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราชที่รู้จัก กันแพร่หลายก็คือ พระบรมธาตุเจดีย์  ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร 

เนื่องจากเป็นที่บรรจุ พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ประกาศ จดทะเบียนวัดพระมหาธาตุเป็นโบราณสถาน นับเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้

 ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการบูรณปฏิสังขรณ์ เนื่องจากมีสภาพทรุดโทรม ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ที่ผ่านมาพบมีพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคจำนวนมาก

 แต่ในจำนวนนี้มีนักธุรกิจค้าขายผ้าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของชาวนครศรีธรรมราช ได้มอบเงินบริจาคตั้งต้น 28 ล้านบาท 


ด้วยหวังตอบแทนคุณ ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช และตอบแทนผืนแผ่นดินไทย !!

 เราจะไปทำความรู้จักกับนักธุรกิจผู้นี้ในหลายแง่มุมกันอีกครั้ง รวมถึงความคืบหน้าในการบูรณะพระบรมธาตุเจดีย์

ทีมข่าวเจาะประเด็นสเปเชียล ลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ไปพบกับนายจิมมี่ ชวาลา เจ้าของห้างผ้าจิมมี่ กลางเมืองนครศรีธรรมราช ที่ตัดสินใจไม่นานในการควักเงินส่วนตัว ร่วมบริจาคบูรณะองค์พระบรมธาตุเจดีย์

นายจิมมี่ เปิดใจว่า ต้นตระกูลตนมีเชื้อสายปากีสถาน เข้ามาอยู่ใน จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่รุ่นทวด ตนเป็นรุ่นที่ 4 แล้ว ยึดอาชีพค้าขายมาตลอด เริ่มจากค้าถ่าน และด้ายเย็บผ้านำเข้าต่างประเทศ ก่อนที่จะเปิดร้านขายผ้า เช่าห้องแถวรายเดือนไม่ถึง 1 บาท

เมื่อพ่อรับช่วงต่อจากปู่ ก็สั่งผ้าจากในประเทศและต่างประเทศเข้ามาขาย กระทั่งตนอายุ 18 ปี จบจากไฮสคูลที่อินเดียก็กลับมายังไทย เพื่อรอยื่นเอกสารไปศึกษาต่อด้านการแพทย์ 

แต่ดวงชะตาก็พลิกผัน เมื่อพ่อเกิดหัวใจวายกะทันหัน ทำให้ตนต้องอยู่ดูแลกิจการขายผ้าแทน กระทั่งพ่อเสียชีวิตเมื่อปี 2526 ก็บริหารกิจการเต็มตัว

เคล็ดลับที่ทำให้ประสบความสำเร็จและเป็นคติที่ยึดถือในการดูแลร้านขายผ้าขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ให้ลูกค้าติดใจ หวนกลับมาซื้ออีก มีเพียงความขยัน ความเพียร และเอาใจใส่ลูกค้า

ภาพที่ปรากฎตามหน้าสื่อ ขณะนายจิมมี่ ก้มกราบพระบรมธาตุเจดีย์ สร้างความตื้นตันใจแก่ผู้พบเห็นอย่างมาก 

ช่วงเวลานั้น นายจิมมี่ เผยใช้เวลาแค่ 40 วินาที หลังปวารณาตัวรับใช้พระบรมธาตุ ก็ตัดสินใจควักเงินบริจาค 28 ล้านบาททันทีแม้เป็นเงินจำนวนมาก แต่ไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย !!!

ทำแล้วมีความสุข ได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และตอบแทนคุณแผ่นดินไทย !


ที่สำคัญหวังให้อานิสงค์ผลบุญเกิดขึ้นแก่ จ.นครศรีธรรมราช เพราะชาวบ้านจะมีรายได้มากขึ้น จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามากราบไหว้องค์พระบรมธาตุเจดีย์

คนในครอบครัวชวาลา ต่างรู้สึกอิ่มเอมใจไปด้วยกับการทำบุญครั้งใหญ่ และที่ผ่านมานายจิมมี่ได้ทำบุญแก่ผู้ยากไร้มาตลอด ทั้งอุปการะเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กนักเรียนใน 5 โรงเรียน มากว่า 20 ปี บริจาคเงินสร้างบ้านให้คนจนใน จ.นครศรีธรรมราช กว่า 40 หลัง  

เช่นเดียวกับพนักงานร้านจิมมี่ ยืนยันว่าเจ้านายเป็นคนดี ใจบุญและดูแลลูกน้องเหมือนคนในครอบครัว

ส่วนพ่อค้า แม่ค้า ในตลาดกลางเมืองนครศรีธรรมราช เผยนายจิมมี่ มีนิสัยชอบช่วยเหลือผู้อื่น ใครมาขอความช่วยเหลืออะไรก็ช่วยหมดและทำธุรกิจค้าผ้าเท่านั้น ไม่มีธุรกิจอื่น               

หลังจากนี้กรมศิลปากร จะเริ่มเข้าบูรณะบริเวณยอดปลีทองคำที่เป็นส่วนสำคัญที่สุดต่อไป ! 

http://m.bugaboo.tv/watch/265667

ประเทศเมียนม่าร์ฉลองชัยชนะที่สามารถร่างกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนาได้สำเร็จ !!!

ประเทศเมียนม่าร์ฉลองชัยชนะที่สามารถร่างกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนาได้สำเร็จ  สุดยอดมากครับ !

แต่ประเทศไทยกลับยกเลิกศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วจัดสรรงบประมาณ เพื่อสนับสนุนสร้างมัสยิดทั่วประเทศ !!





ชาวพุทธเมียนม่าร์ทุกยุคทุกสมัย ให้ความสำคัญต่อการป้องกันภัยศาสนาพวกเขาพร้อมหยัดสู้เพื่อพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ดังที่พุทธบริษัท 4 ในเมี่ยมม่าร์ ร่วมกันผลักดันกฎหมายคุ้มครองศาสนาและเผ่าพันธุ์
จนกระทั่งประสบความสำเร็จ สามารถบรรจุศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติเมี่ยนม่าร์


และเพื่อประกาศความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ให้แพร่หลายในวงกว้างองค์กรสันติภาพ มาบาทา นำโดยพระมหาเถระ ภัทรทันตะ ปิโรกะภิวังสา ประธานองค์กรมาบาทา จึงจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นในวันที่ 4 ตุลาคม 2515 ที่ผ่านมา

ณ สนามกีฬาแห่งชาติย่างกุ้ง ภายในงาน คณะสงฆ์และสาธุชนที่มาร่วมประกาศความสำเร็จกว่าสามหมื่นคน
ได้รับการปราศัยจากพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง จากมาบาทา โดยได้รับความเมตตาจากพระมหาเถระ
ภัทรทันตะ ปิโรกะภิวังสา เป็นผู้นำปราศัยในหัวข้อ อนาคตการปกครองของเมี่ยนม่าร์ 


 และที่สามารถผลักดันความสำเร็จด้านกฎหมายคุ้มครองศาสนาและเผ่าพันธุ์ ให้ความสำคัญของชาวพุทธ
ลดสิทธิชาวมุสลิม 4 ฉบับ อันได้แก่ 

1. กฎหมายว่าด้วยการควบคุมประชากร
2. กฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนศาสนาไม่ให้ชาวพุทธเปลี่ยนเป็นอิสลาม
3. กฎหมายการมีคู่สมรสเพียงคนเดียว
4. กฎหมายห้ามหญิงชาวพุทธแต่งงานกับชายชาวมุสลิม

 ประเทศเมียนม่าร์ฉลองชัยชนะที่สามารถร่างกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนาได้สำเร็จ 

 แต่ประเทศไทยกลับยกเลิกศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วจัดสรรงบประมาณ เพื่อสนับสนุนสร้างมัสยิดทั่วประเทศ !!

https://youtu.be/S6lugiXsuas

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

##ผู้นำโลกปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ฯ เมืองไทยรังแกพระ ภาพประวัติศาสตร์ ที่ควรจารึก !!!

ประธานาธิบดีสหรัฐปลูกต้นไม้แห่งการตรัสรู้ที่อินเดีย
+++++++++++++++++++++


ประธานาธิบดี โอบาม่า แห่งสหรัฐอเมริกา ปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์ 
ต้นไม้แห่งการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความนอบน้อม ณ กรุงนิวเดลี ในโอกาสเยือนสาธารณรัฐอินเดีย ๒๗ มกราคม ๒๕๕๘ 

ศัพท์ว่า โพธิ์ โพธิ มิใช่เพียงชื่อของต้นไม้ โพธิ เป็นชื่อของปัญญาญาณตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ปัญญาที่ทำให้บุคคลกลายเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ปัญญาที่ทำลายราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา 

อุปาทานและกิเลสทั้งปวง "พระสัมมาสัมพุทธะได้โพธิ ณ ควงไม้ใด ควงไม้นั้น มีชื่อว่า โพธิ์" สิทธัตถะโพธิสัตว์ได้โพธิใต้ต้นอัสสัตถะ



 ต้นอัสสัตถะนั้นได้รับนามใหม่ว่าต้นโพธิ สถานที่พระองค์ได้โพธิ เรียกว่า โพธิคยา (เพี้ยนมาเป็นพุทธคยา)

 สมัยที่พระองค์มีพระชนม์ชีพอยู่ เรียกว่า โพธิกาล (ปฐมโพธิกาล มัชฌิมโพธิกาล และปัจฉิมโพธิกาล เรามาใช้คำว่าพุทธกาล ซึ่งมีความหมายกว้างกว่า

 พุทธกาลหมายถึงระยะเวลาของศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ เช่น กาลของพระกัสสปพุทธเจ้า) ต้นโพธิ เป็นองค์แทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนการสร้างพระพุทธรูป 

ดังเรื่องการเกิดขึ้นของอานนทโพธิ์ ชาวพุทธทั้งหลายพึงมองต้นโพธิ์ให้เห็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า นำตนพ้นจากทุกข์ ได้สาวกโพธิเป็นอนุพุทธะตามพระองค์นั่นฯ

ขอให้ต้นไม้แห่งการตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ จงเป็นอนุสัยแห่งปัจจัยเพื่อการ Enlinght ให้แก่สัพสัตว์ัด้วยเทอญฯ

cr. สบายใจ สมปรารถนา

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

ชีวิตหลังบวช สุดพีค! ของซูเปอร์สตาร์

ใครๆ ก็ทราบว่า ณเดชน์เคยบวชแล้ว เมื่อเดือนธันวาคม 2558

แต่ใครๆ อาจจะยังไม่ทราบว่า หลังจากสึกแล้วเขาพูดถึงประสบการณ์ชีวิต ในช่วงนั้นอย่างไร?

ณเดชน์ คูกิมิยะ

 นี่คือวรรคทองจากการให้สัมภาษณ์ของพระเอกชื่อดังค่ะ

 “ผมว่าการบวชเป็นพระ เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตผมเลยครับผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ลูกผู้ชายเกิดมาต้องบวชสักครั้งหนึ่งเอหิปัสสิโก ท่านจงมาดูเถิด”

บอกตามตรงว่าหลังจากไปนั่งจิบกาแฟพร้อมกับอ่านบทสัมภาษณ์
ของซุปตาร์ ณเดชน์ คูกิมิยะ เกี่ยวกับชีวิตหลังบวช ในนิตยสารดิฉัน
อ่านแล้วเกิดแรงส่งความถี่สูงขึ้นในบัดดล 

เพราะเรื่องราวดีๆ แบบนี้ต้องขยาย แต่ขอนำมาเล่าเพียงบางส่วนเท่านั้นนะคะ

หากอยากอ่านเรื่องราวเต็มๆ คงต้องไปยกเล่มดิฉัน มาอ่านกันล่ะค่ะ

เคยสงสัยไหมคะว่าทำไม ลูกผู้ชายต้องบวช?



การบวชมีประโยชน์ มากกว่าการสืบประเพณีตามๆ กันมาอย่างไร?

สองคำถามนี้อาจจะติดอยู่ในใจ คนหนุ่มสาว Gen  Y  และ Gen C อีกหลายล้านคน

เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2558 ณเดชน์ คูกิมิยะ นักแสดงคิวทองได้ตัดสินใจเทคิวให้การอุปสมบท แบบทันทีทันใด แล้วเขาตั้งใจอย่างจริงจัง

ว่าจะบวชให้ได้ 15 วัน หลังจากไปกราบหลวงปู่ทอง วัดนาหลวง ที่จังหวัดอุดรธานี

และการบวชครั้งนั้นของเขาเป็นการอุปสมบทหมู่ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล มีคนมาบวชในโครงการนี้กว่า 800 คน

สงสัยเหมือนกันไหมคะว่า ระดับซูเปอร์สตาร์มาบวชพร้อมกับคนอีกเกือบพัน บรรยากาศคงโกลาหลไม่น้อย เพราะใครๆ ก็คงอยากจะถ่ายรูปกับ ซุป ’ตาร์ สักครั้ง



ณเดชน์เล่าว่า ได้มาบวชโครงการนี้มีแต่ความโชคดีล้วนๆ ถึงแม้ว่าคนจะเยอะ เพราะบวชคนเดียว ไม่รู้จะเคร่งครัดอดทนในการฝึกตนขณะบวชแค่ไหน

การบวชกับโครงการฯ ก็เป็นเหมือนโรงเรียน มีกฎระเบียบ มีตารางทำกิจกรรมชัดเจน ทำให้ได้ฝึกตัวเอง ฝึกความอดทน

ซึ่งก็มีบ้างที่บางคนไปต่อไม่ไหว แล้วขอลาสิกขาก่อนจบโครงการ


วัดนาหลวง จังหวัดอุดรธานี วัดป่าแห่งนี้มีพื้นที่ตั้งอยู่บนเขาทั้งลูก ห่างไกลจากชุมชนการเดินทางขึ้นไปค่อนข้างลำบาก

 ทุกเช้าพระที่จะออกบิณฑบาตต้องเดินลงเขาด้วยเท้าเปล่า เป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตรกว่าจะไปถึงหมู่บ้าน

ในช่วงที่บวชณเดชน์นั้น ตัวเขาเองรับบาตรอยู่เฉพาะภายในพื้นที่วัดโดยเขาต้องเดินเท้าเปล่าจากกุฏิ ลงมาถึงโรงครัวระยะทางก็ไกลประมาณ 1 กิโลเมตร



แล้วเวลาฉันภัตตาหาร ก็จะนำอาหารคาวหวานทุกชนิดใส่ลงในบาตรตักมาเท่าไหร่ต้องฉันให้หมด ฉันเสร็จมีพระอาจารย์มาเดินตรวจบาตรอีกด้วย



 ณเดชน์เล่าว่า ตอนแรกก็ตักเยอะเพราะเป็นอาหารอีสานของโปรดทั้งนั้น จึงฉันด้วยความทรมาน เพราะตักมาจนเกินอิ่ม ทำให้เขาได้ข้อคิดว่า “มีมากก็ทรมาน มีน้อยก็ทรมาน ความพอดีนี่แหละสัจธรรม”

ข้อคิดที่เกิดจากประสบการณ์ที่ตรง ถึงแม้เราไม่นึกจดจำ แต่ก็ไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิตจริงไหมคะ มาถึงส่วนของกิจวัตรกิจกรรม ที่ณเดชน์ต้องทำในแต่ละวัน พร้อมกับพระร่วมรุ่นอีก 800 รูปนั้น ก็มีทั้งการสวดมนต์ ฟังธรรมะ นั่งสมาธิ เดินจงกรม

ทุกกิจกรรมล้วนคืนสู่สามัญด้วยเท้าเปล่า ที่เรียกได้ว่าติดดินอย่างเป็นรูปธรรม


 โดยเฉพาะช่วยเดินจงกรมมีอยู่วันหนึ่ง ณเดชน์เดินไกลถึง 3 กิโลเมตร เขารู้สึกระบมเท้ามาก พอกลับมาถึงกุฏิ ยิ่งรู้สึกปวดลึกเข้าไปถึงกระดูกฝ่าเท้า ชนิดที่ว่าเดินแทบไม่ได้ ทำให้เขาย้อนมองกลับไปว่า “พระที่ท่านเดินธุดงค์ด้วยเท้าเปล่าๆ นี่สุดยอดเลย”

สิ่งที่บ่งบอกถึงความจริงจังตั้งใจอีกเรื่องหนึ่งคือ เข้ามาบวชวันแรกเขาก็โยนโทรศัพท์มือถือทิ้งเลย ฝากบอกแม่ว่าถ้ายังไม่สึกหาละเพศยังไม่ต้องเอามาให้นะ เขาไม่ต้องการติดต่อกับใคร ขอตัดขาดทุกอย่าง

เพราะหากลงมือทำอะไรเขาก็ทำให้ดีที่สุด เมื่อเป็นพระก็ต้องสำรวม ให้เปะ!

จนตัวเขาเองเริ่มรู้สึกเครียด และกังวลกับการไปให้ถึงจุดนั้น มาถึงจุดหนึ่งจึงได้ทำความเข้าใจกับเพศภาวะความเป็นพระ

เขาก็เริ่มปล่อยวางความยึดติด ความเคร่งเครียดก็คลี่คลายลง เกิดความโล่ง ความสบาย จนได้พบความสงบ



ณเดชน์บอกว่า ตอนนั้นเกิดข้อคิดอะไรหลายๆ อย่างที่อธิบายได้ยาก ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเองนะครับ

มีประโยคบาลีประโยคหนึ่งที่ ณเดชน์จดจำได้แม่นยำคือ “เอหิปัสสิโก ท่านจงมาดูเถิด”


การบวชเป็นพระถือเป็นช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับตัวเอง ปลอดจากความกังวล ทั้งเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องครอบครัว และคนรอบข้าง

ทำให้เขามีเวลาหันกลับมามองตัวเอง แล้วทบทวนชีวิตที่ผ่านมาทำให้มองปัญหาหลายๆ อย่าง ด้วยความเข้าใจ

ไม่กลัวที่จะเผชิญกับปัญหา แม้ว่าไม่เคยเผชิญกับมันมาก่อน ซึ่งพระอาจารย์ก็บอกกับเขาว่า “สิ่งที่เรากลัวคือเรากลัวจิตใจกลัวความคิดของเราเองมากกว่า”

การใช้ชีวิตหลังบวชในวงการบันเทิง เขายอมรับว่า แม้จะนำสิ่งที่ฝึกฝนตอนเป็นพระมาผสมผสานกับชีวิตทางโลกได้ไม่ทั้งหมด แต่เขาก็รับมือกับมันได้ดีขึ้น

“อาจจะเป็นเพราะว่าผมอยู่กับความวุ่นวาย จริงๆ ทุกคนนั่นแหละ การอยู่ในสังคมมักจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้น มีปัญหา มีความพอใจ ไม่พอใจ ที่จำมาทำ หลังจากสึกแล้ว คือทำสมาธิ เช่น เวลาที่มันวุ่นวายมากๆ ผมก็จะหาเวลาหลับตาสักพัก ทำให้เกิดความสงบเป็นหนทางดับทุกข์จริงๆ

ณเดชน์ยอมรับว่า การบวชทำให้เขารู้วิธีรับมือกับปัญหาอะไรหลายๆ อย่าง มีภูมิคุ้มกันในตัวเองมากขึ้น ทั้งเรื่องอารมณ์ เรื่องคน เรื่องงาน และสิ่งแวดล้อม จิตใจนิ่งมากขึ้น มีกระบวนการคิดที่ดีขึ้น”


..ผมว่าการบวชเป็นพระเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตผมเลยครับ..


อีกหนึ่งแง่มุมที่เขาพูดถึง นั่นคือการบวชนอกจากจะเกิด ประโยชน์ตนแล้ว ก็ยังเป็น ประโยชน์ท่าน อีกด้วย และ ท่านที่หมายถึงนั้น คือพ่อแม่ผู้ปกครอง ค่ะ

“ผมเชื่อว่าผู้ปกครอง เวลาลูกหลานบวชก็ปลื้มใจ เราชาวพุทธได้เห็นชายผ้าเหลือง เป็นความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่ จริงๆ เป็นเรื่องที่ดี

ผมพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ลูกผู้ชายเกิดมาต้องบวชสักครั้งหนึ่งถ้าใครไม่บวชนี่ ถือว่าพลาดไหม พลาดมั๊ย พลาดในฐานะชาวพุทธ นี่คือสิ่งที่คุณควรจะเรียนรู้”



 แม้ว่า ณเดชน์จะย้ำว่าการบวชเป็นพระนั้น ทำให้เขาได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ปล่อยวางภาระกิจการงาน แต่ความจริงแล้วการถือเพศภาวะเป็นพระสงฆ์ ก็ใช่ว่าตัดช่องน้อยแต่พอตัว

เพราะเมื่อบวชเป็นพระก็มีภาระหน้าที่ของพระ คือต้องดูแลญาติโยม คอยให้คำปรึกษา พระสงฆ์เป็นผู้ที่ทำให้ศาสนาดำรงอยู่ ด้วยการโปรดสัตว์ และดำเนินรอยตามพระพุทธเจ้า

ประตูสู่เส้นทางธรรมนั้นเปิดกว้างเสมอ หากชายผู้ได้โอกาสมุ่งหวังการถือครองเพศสมณะ แต่ก็ใช่ว่าลูกผู้ชายทุกคน จะกล้าหาญตัดสินใจบวชพระกันทุกคน

การฝึกฝืนความเคยชินเดิมๆ อดในสิ่งที่อยากได้แต่ไม่ได้ทนในสิ่งที่ไม่อยากได้แต่กลับได้ ต้องอาศัยกำลังใจสูงส่ง และที่สำคัญต้องถึงพร้อมด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเต็มเปี่ยม !!


ณเดชน์ คูกิมิยะ
ดาราชื่อดังที่ไม่มีข่าวเสียหาย

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในวงการบันเทิง ถึงแม้เขาบอกว่าความเป็นซุปเปอร์สตาร์ เป็นสิ่งที่คนอื่นมอบให้ เขาเองเป็นเพียงดาราธรรมดาคนหนึ่ง ที่อาจจะมีโอกาสทำงานเยอะกว่าแต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์

คำให้สัมภาษณ์ที่ส่องสะท้อนความคิดจิตใจ ของนักแสดงหนุ่มคนนี้คงทำให้เราได้เห็นตัวตนดีงามภายใน ที่วันนี้ได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์ขึ้น

ผ่านบทฝึกความเป็นพระ อันเป็นเส้นทางอริยะทางเดียวกับพระพุทธเจ้า ถึงแม้จะบวชเป็นระยะเวลาแสนสั้นแต่ดอกผลต้นพันธุ์ที่ได้นั้น งอกงามดีเหลือเกิน ทำให้ดิฉันนึกถึงประโยคที่กล่าวว่า

“หนึ่งนาทีที่เป็นบัณฑิต ดีกว่าตลอดชีวิตที่เป็นพาล”

ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่เกิดขึ้นด้วยคะ

เรื่องโดย. คนธรรมรำพัน

 Cr.เนื้อความบทสัมภาษณ์จาก นิตยสารดิฉัน ฉบับ เดือนมีนาคม 2559

เพจพระนพดล สิริวํโส

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

ประธานาธิบดี โอบามา ผู้นำสหรัฐ กับพระพุทธศาสนา..

ประธานาธิบดี  โอบามา  ผู้นำสหรัฐ...
ได้ไปเยือนประเทศลาวเพื่อเข้าประชุมฯ..แต่ในช่วงเวลาว่างได้ไปกราบนมัสการตามวัด..กราบพระตามแบบชาวพุทธ.

..แม้กระทั้งเข้าวัดยังถอดรองเท้า .. ตามประเพณีของชาวพุทธในประเทศลาว..



...ยังยกมือไหว้พระพร้อมถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึก..แสดงถึงความเคารพเลื่อมใสให้กับศาสนาพุทธ..

...ไม่ดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือแสดงกิริยามารยาทไม่เหมาะสม.ถือว่าให้เกียรติศาสนาพุทธดีที่เดียว...



...แต่เมืองไทยศูนย์กลางของศาสนาพุทธแท้ๆ  แถมมีชาวพุทธเกือบ95%.. แต่เหมือนกลุ่มระดับผู้นำประเทศไม่ค่อยนับถือศาสนาของตนเองเท่าไหร่...

...ขนาดเป็นถึงรมต.เป็นถึงนายพลตำรวจ..ออกข่าวเกี่ยวกับวัดกับพระทีไร...เห็นแต่จะเล่นงานพระเล่นงานวัด..

...ข่าวพระดีๆไม่มีเลยหรือ..เวลาพระทำดีเงียบเฉย..แต่พอพระทำไม่ถูกใจ..เอากันถึงสึกเลยหรือ..

...เป็นใหญ่เป็นโต..มันมีเวลานะครับ..ไม่ใช่จะเป็นกันไปจนตาย..อีกไม่นานก็ลงจากหลังเสือแล้ว.. อย่าลงแบบมีชงักติดหลัง..ถูกตามล้างแค้นคืนเลย..

...เห็นแก่ศาสนาเถอะครับ..ทนายก็ไม่ใช่ว่าจะชอบพระทุกองค์..พระบางองค์ยังมีกิเลศ..ทนายยังทำใจไม่รู้ไม่ชี้..เพราะเห็นแก่ศาสนา..

...ศาสนาพุทธดีที่สุดแล้วช่วยกันรักษา.อย่าช่วยกันทำลายเลย..แล้วท่านจะลงหลังเสือแบบมีความสุข...

ทนายนิทัศน์  ประเสริฐเนติกุล..พฤหัสที่,8กย59  9.41น.

เกิดอะไรขึ้นกับพุทธศาสนา ในประเทศไทย?? ทำไมจึงยังไม่ตั้งประมุขสงฆ์สักที??

พุทธศาสนาทรงอิทธิพลต่อชาวโลก และกว้างใหญ่ไพศาลเกินคาดคิด.
........

ทุกวันนี้ คำถามทุกสารทิศ ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา มีข้อเดียว คือ... "พุทธศาสนา ในประเทศไทย วันนี้ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงยังไม่ตั้งประมุขสงฆ์ของไทยสักที ?

 ทำไมผู้นำไทย จึงไม่แสดงความจริงใจ ในการแก้ปัญหาเหล่านี้เลย ? ยังขัดแย้งกันไม่พออีกหรือ?"


- คำข้างต้นนั้น เป็นคำพูด คำถาม ของ ผู้บริหารระดับสูง ของ กระทรวงศาสนาของจีน ซึ่งมีทั้งฝ่ายฆราวาส และพระสงฆ์ผู้ใหญ่ ระดับรองประมุขสงฆ์ ของ จีน ที่มักหยิบมาถามบ่อยๆ.


- ซึ่งเราก็คงไปโกรธ หรือตำหนิเขาว่า ไม่รักษมารยาท ก็คงไม่ได้ เพราะข่าวคราวปัญหาความขัดแย้งบ้านเราพวกนี้ มันไหลถึงกันไปทั่วโลก.

- เป็นคำถามที่ผม และทีมงาน มักจะถูกตั้งคำถาม ในเกือบจะทุกครั้ง ทั้งแบบทางการ และส่วนตัว มานานกว่า 1 ปีแล้ว ครั้งนี้ก็เช่นกัน.
-------
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1227694730627070&id=1072393339490544

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559

สร้างพระพุทธรูปแกะสลักบนผาหิน มีใบอนุญาต ไม่บุกรุก!!!

เหมืองทุกเหมืองในประเทศนี้ นายทุนจะทำเหมืองได้ราบรื่น ก็ต้องอิงอำนาจ"มาเฟีย"นอกระบบทั้งนั้น!!

มันไม่ใช่แค่มีเอกสารราชการแล้วจะทำได้ นี่คือความจริงที่คนเมืองกรุงอาจไม่เคยรู้!!




สิ่งที่สงสัยก็คือ>> เมื่อตอนที่เหมืองยังเปิดอยู่ ไม่รู้ว่าตอนนั้น นักวิจารณ์หายไปไหนหมด ถ้าเป็นภาษาเมืองกาญจน์บ้านเรา ก็ต้องบอกว่า "สงสัยจะกลัวลูกปืนจนหัวหด คงจะรักชีวิตมากกว่าการอนุรักษ์ผืนป่าเพราะลูกตะกั่ว มันราคาไม่กี่บาทยังไงชีวิตก็ยังมีค่ามากกว่าลูกตะกั่ว"



แต่พอหลวงพ่อสะอิ้งท่านเข้าไปพลิกพื้นที่รกร้าง เปลี่ยนจากภูเขาปูน >>> ให้เป็นภูเขาทองคำ เปลี่ยนจากเหมืองร้างให้เป็นเหมืองบุญ ระดมศรัทธาแกะสลักหน้าผา เป็นพระพุทธรูป ถวายเป็นพุทธบูชา ยกย่องจรรโลงพระพุทธศาสนา บูชาในพระปัญญาธุคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.

นักวิจารณ์ไม่รู้โผล่ออกมาจากไหน? มากมายคล้ายๆ กับดำผุดดำว่ายขึ้นมาจากพื้นดิน อ้างกฎหมาย อ้างสิ่งแวดล้อม อ้างสารพัดราวกับการสร้างพระพุทธรูปกลางเหมืองร้างมีโทษฐานร้ายแรง เท่ากับความผิดฆ่าคนตาย ทำลายสมบัติชาติจนแผ่นดินล่มสลาย!!!

พวกที่ผสมโรงก็ผสมกันไปทั้งน้ำเปล่าโซดา กินเหล้าเมายา ด่าพระเป็นกับแกล้ม โฆษณาชวนเชื่อจนคนทำบาปกันทั้งบ้านทั้งเมือง  สังคมที่ด่าทอกันไร้สติแบบนี้

 เมื่อความจริงมาปรากฏตรงหน้าแบบนี้ เอกสารที่ถูกต้องมายืนยันแบบนี้ จะมีความ องอาจ พอจะออกมาขอโทษหรือไม่?





จะกล้าหาญพอออกมารับผิด เหมือนตอนที่กล้าด่าหลวงพ่อท่านให้เสื่อมเสียหรือไม่??

หลวงพ่อท่านเป็นพระ คงไม่ถือโทษโกรธใคร แต่สังคมหลงเชื่อ จนชื่อเสียงเสียหาย ผู้ที่ว่าร้ายท่านแบบผิดๆ จะไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรบ้างหรือ ???
------------------------------------------------

๔ กันยายน ๒๕๕๙
๑๘.๓๐ น.
Cr.หลวงพี่ตรีเทพ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากเพจ หลวงพี่ทอง

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2559

แกะสลักพระที่หน้าผา ทำลายธรรมชาติจริงหรือ??

 เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี จัดสร้างหลวงพ่ออู่ทอง พระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผา ใหญ่ที่สุดในโลก!! 

 ในช่วงหลังมานี้ไม่ว่าศาสนาพุทธ ทำอะไรก็ดูผิดหมด!! พระสร้างวัดอยู่ในป่า ตั้งแต่ปีมะโว้ ก็ไม่มีอะไร ทำไมพึ่งมามีในช่วงนี้??


 วัดพระธรรมกายสร้างมหาเจดีย์เพื่อเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธรูปนับล้านองค์เพื่อเป็นที่สักการะบูชาและศูนย์รวมใจ ชาวพุทธทั่วโลก.

 ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญและสมควรต้องทำ ก็ถูกประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำโจมตีไม่เรียกเจดีย์ แต่เรียกจานบิน!! ซึ่งเป็นถ้อยคำดูถูกพุทธศาสนามาก เพราะถ้าเปรียบดังนั้น ก็หมายถึง เปรียบพระพุทธรูป แค่น๊อตตัวหนึ่ง.

 .."พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ".. แกะสลักใกล้แล้วเสร็จ อีกไม่นาน ก็จะเป็นที่ภูมิใจชาวพุทธทั่วโลก

 แต่ก็เริ่มมีกระแสข่าวโจมตี มาอีกแล้ว กล่าวหา! เป็นการทำลายธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม กำลังร้องให้สอบ เพื่อดำเนินการเอาผิดกับผู้จัดสร้างคือ "เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี"

 "พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ" พระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผาใหญ่ที่สุดในโลก!!



หนึ่งเดียวในไทย ยิ่งใหญ่ในโลก มรดกคู่ฟ้าดิน "พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ" หรือ หลวงพ่ออู่ทอง พระพุทธรูปแกะสลักบนหน้าผาใหญ่เขาทำเทียม ณ พุทธมหาสถานเมืองโบราณอู่ทอง เขตเทศบาลตำบลท้าวอู่ทอง อ.อู่ทอง จ.สุรรณบุรี

เกิดจากพระเทพสุวรรณโมลี (สอิ้ง สรินนฺโท  ป.ธ.๘) เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี มีดำริที่จะสถาปนาพระพุทธรูปแกะสลักภูผาใหญ่ที่สุดในโลก ณ ภูผามังกรบิน (วงกลม) เขตโบราณสถานเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรบุรี




 ด้วยเหตุผลสอดคล้องทั้งในด้านพื้นที่ ที่กรมศิลปากรยืนยัน "..เป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่พระุธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ" 

 และหลักฐานทางโบราณคดีที่มีข้อพุสูจน์ว่าพระเจ้าอโศกมหาราชแห่ง อินดดีย ส่งพระโสณะ และพระอุดดรเถระ เข้าไปในต้นพุทธศตวรรษที่ ๓ 


 ดังหลักฐานทางโบราณคดีที่มีข้อพิสูจน์ว่าพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย ส่งพระโสณะ และพระดุดดรเถระ เข้าใสในต้นพุทธศตวรรษที่ ๓ ดังหลักฐานจารึกศิลา "ปุษยคีรี" และ ธรรมจักรบนยอดเสาอโศก" 


เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางพุทธศาสนาของประเทศไทยที่ดำเนินมาอย่างยาวนานจนพุทธกาลล่วงสู่ปี ๒๕๕๔ มหาชนชาวไทย และพุทธศาสนิกชนทั่วโลกได้สร้างพลังศรัทธาเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ด้วยการ สร้างพระพุทธรูปแกะสลักภูผาใหญ่ที่สุดในโลก





 "สมเด็จพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ" หรือ "หลวงพ่ออู่ทอง" ปางมารวิชัย ศิลปะอู่ทอง ๑ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเดจพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชย์สมบัติครบ ๖๕ ปี และทรงเจริญพระชนมายุครบ ๘๔ พรรษา

การแกะสลักพระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรรณภูมิ หรือ หลวงพ่ออู่ทอง พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนั้นเกิดจากพลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนในประเทศ.


แต่แปลกทำไมต้องร้องสอบการจัดสร้างพระพุทธรูป.
เหตุการณ์ แบบนี้ ไม่เคยมีมาก่อนเลยในอดีต!!

ในอดีตมีแต่ยกมือท่วมหัวสาธุการ ถ้าต้องการอนุรักษ์ ธรรมชาติจริงๆ
ทำไมไม่ร้องสอบ กรณีเขาหัวโล้น กรณีโรงโม่หิน ระเบิดภูเขาทุกวัน
จนภูเขาแถวสระบุรีราบเรียบ เป็นหน้ากลองไปไม่รู้กี่ร้อยลูกแล้ว ยกตัวอย่างก็เพื่อสะกิดต่อมปัญญา ถ้าเกิดอะไรที่ไม่ดี กับศาสนาพุทธ จะได้ฉุกคิดหาเหตุผลกันบ้าง

อย่ารีบด่วนเชื่อในทันที ควรเอะใจ อะไร? ทำไม? จริงไหม? ฝีมือใคร?การไม่เชื่อง่ายเกินไป นั่นแหละดีจะได้เปิดช่อง ให้ใจค้นคว้าเหตุผลเหตุที่ต้องตั้งสมมติฐาน ไว้แบบนี้เพราะตอนนี้ คนพวกนี้ แฝงตัวอยู่ในทุกวงการ ทุกหน่วยงานแล้ว


#ไม่อยากเชื่อว่าขบวนการทำแท้งให้ "พระพุทธรูปตายทั้งกล" มีจริง ข่าวแบบนี้ไม่น่าจะมีที่ประเทศไทย แต่หลักฐานก็มีให้เห็นแล้ว
Cr.เรชุงปะ ศิวโมกข์

 พระเทพสุวรรณโมลี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรีชี้ "ภูเขาที่ใช้แกะสลักพระ" เป็นภูเขาที่ โรงโม่หินระเบิดไว้ก่อนแล้ว เป็นหน้าผาหินยาวกว่า ๘๐๐ เมตร กอปรกับ พณ.บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 21 ของไทย มีดำริที่จะทำเมืองอู่ทองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วย อย่าวิจารณ์โดยไม่ศึกษาข้อมูล ระวังบาปจะติดตัวไปเปล่าๆ

รายละเอียดฟังคลิปนี้สามนาที
https://www.facebook.com/LuangpiThong/videos/1200466049997077/

ปธน.เร่งฟื้นฟูโบราณสถานในพม่า ผลกระทบจากแผ่นดินไหว!!

ประธานาธิบดีของเมียนมา พร้อมพุทธศาสนิกชน เร่งฟื้นฟูโบราณสถานจากผลกระทบจากแผ่นดินไหว! 

 จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว 6.8 ตามมาตราริกเตอร์ ที่สั่นสะเทือนสิ่งปลูกสร้างไปทั่วประเทศ เมื่อวันพุธที่ 24 สิงหาคม 59 ที่ผ่านมา.



 สร้างความเสียหายแก่พระเจดีย์ และพุทธสถานโบราณในพุกาม สหภาพเมียนมา เป็นอย่างมาก พบว่าพระเจดีย์เสียหายไปไม่น้อยกว่า 200 องค์.

 ความคืบหน้าในการเร่งฟื้นฟูโบราณสถานที่ได้รับผลกระทบ เจ้าหน้าที่ทหารและพลเรือนของเมียนมาได้เข้าเก็บกวาดซากปรักหักพังของเจดีย์.


 ขณะที่ประธานาธิบดีของเมียนมา อู ถิ่น จ่อ เดินทางไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่เมื่อวานนี้เพื่อตรวจดูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโบราณสถานที่สำคัญ!




ก่อนที่จะวางแผนบูรณะฟื้นฟูพุทธสถานสิ่งปลูกสร้างอายุนับพันปีเหล่านี้ ต่อไป.



 จากภาพจะเห็นได้ว่าประธานาธิบดีและคณะ แม้จะต้องเข้าไปตรวจสอบในสถานที่ปรักหักพัง แต่เป็นพื้นที่ประดิษฐานพระรัตนตรัย ยังให้ความเคารพด้วยการถอดรองเท้าเดินตรวจเลยทีเดียว.

สำหรับประธานาธิบดีของเมียนมา นาย อู ถิ่น จ่อ ได้เข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ.2559  และเป็นประธานาธิบดีที่เป็นพลเรือนคนแรกในรอบ 50 ปี หลังการชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย.


 ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ถูกต้องและน่ายกย่องอย่างยิ่ง ที่ชาวพุทธทุกคนพึงปฏิบัติ.



 สอดคล้องกับเรื่องราวของ #พระเจ้าพิมพิสาร ที่ถูกกรีดเท้าจาก #พระเจ้าอชาตศัตรู (ลูกชาย) เพราะวิบากกรรมเดินเข้าในเขตพุทธาวาส ไม่ถอดรองเท้า...

 นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ชาวพุทธควรศึกษา และให้ความเคารพกับพระรัตนตรัยมากกว่านี้

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม http://news.voicetv.co.th/world/404976.html
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากเพจลูกศิษย์วัดพระธรรมกายทั่วโลก
ข่าวผู้จัดการออนไลน์

#ร่วมกอบกู้ ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
#เผยแผ่ธรรมไปทั่วโลก

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2559

ชาวพุทธไทยคนแรก ในกองทัพบกอเมริกา !!!

#อนุศาสนาจารย์ชาวพุทธไทยคนแรกที่เป็นทหารกองประจำการกองทัพบกอเมริกา เรื่องจริงของทหารอเมริกาเชื้อสายไทยอีสานท่านนั้นคือ ร้อยเอก สมญา มาลาศรี 


....บทสัมภาษณ์....

...ผมชื่อสมญา มาลาศรี เกิดที่บ้านนาศรีนวล ต.บุโพธิ์ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ครอบครัวผมมีพี่น้องทั้งหมด 5 คน ผมเป็นคนที่ 4 ผมเกิดในครอบครัวชาวนา ซึ่งก็เหมือนกับชาวนาทางภาคอีสานของประเทศไทย นั่นคือ ยากจน เนื่องจากทางบ้านมีพี่น้องหลายคน 

...หลังจากจบการศึกษาภาคบังคับแล้ว ก็ไม่ได้เรียนต่อ ทั้งๆที่ผมเรียนค่อนข้างดีมาตลอด ผมแอบร้องไห้บ่อยมากที่เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันได้ไปเรียนต่อ ที่โรงเรียนมัธยมประจำตำบล โดยเพื่อนหลายๆคน ปั่นจักรยานหยอกล้อกันไปด้วย ผ่านหน้าบ้านทั้งเช้าเย็น ช่างมีความสุขเหลือเกิน ผมเห็นเพื่อนๆเหล่านั้นแล้วได้แต่แอบร้องไห้ อยากจะไปเรียนต่อมากๆ แต่ว่าไม่สามารถไปเรียนต่อได้ เพราะว่าทางบ้านไม่สามารถส่งเรียนต่อระดับมัธยมได้


...ก่อนจบประถมคุณครูได้ถามว่าอยากเป็นอะไรในอนาคต ผมจำได้เหมือนกับคุณครูเพิ่งถามเมื่อวานนี้เอง ผมได้ลุกขึ้นตอบอย่างรวดเร็วว่า โตขึ้นผมอยากเป็นทหาร ผมได้แต่ฝันแค่นั้น เพราะว่าการเป็นทหารนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับลูกชาวนาจนๆอย่างผม 

...เมื่อจบประถมปีที่หกแล้ว แม่ได้ส่งผมไปทำงานเป็นเด็กซ่อมรถในเมืองบุรีรัมย์ โดยมีพี่ชายลูกชายของน้าเป็นนายช่างใหญ่อยู่ที่นั่น ผมไม่เคยออกจากบ้านไปไกลๆเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ออกเดินทางไกลจากพ่อแม่ ผมร้องไห้บ่อยมากเพราะว่าคิดถึงบ้าน และอาหารของคนในเมืองนั้นกินไม่เหมือนอาหารบ้านเรา ผมกินผัดไทยครั้งแรก กินไม่เป็น อาเจียนออกมาหมด 


...ผมทำงานไม่มีวันหยุด ทำตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนถึงเย็น บางวันมีรถมาซ่อมมากก็อยู่ไปจนดึก บางครั้งอยู่เลยเที่ยงคืนก็มี ผมได้เงินเดือน เดือนละ 30 บาท กินอยู่กับเจ้านาย ผมดีใจมากที่ได้เงินเดือน มากขนาดนี้ เพราะว่าผมไม่เคยได้เงินมากขนาดนี้มาก่อนเลย

 ผมจำได้ว่าเก็บเงินส่งให้แม่ได้ เป็นเด็กซ่อมรถอยู่ปีกว่าๆ ผมออกไปทำงานที่กรุงเทพกับน้า ไปทำงานโรงฟอกหนังที่สมุทรปราการ ไปทำโรงงานยาง ที่บางขุนเทียน ไปทำงานก่อสร้างที่หมู่บ้านเศรษฐกิจ แถวเพชรเกษม ได้ค่าแรงวันละ 60 บาท ช่วงทำงานที่กรุงเทพนั้น ผมก็เกเร กินเหล้า ตามประสาวัยรุ่น 


...สมัยนั้น ผมทำงานหลายที่หลายงานที่กรุงเทพ วันหนึ่งผมกลับบ้านมาเยี่ยมแม่เพราะว่าแม่ไม่สบาย เนื่องจากหลายปีก่อนพี่สาวผมฆ่าตัวตาย แล้วผมก็มีนิสัยเกเร แม่เสียใจมากป่วยเป็นโรคจิต ผมกลับมาเยี่ยมบ้าน เห็นสภาพแม่แล้วก็เลยรับปากแม่ว่าจะบวชให้แม่

 ตอนนั้นผมอายุประมาณ 16 ปี ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ตั้งใจว่าจะบวชสักระยะหนึ่งให้แม่สบายใจแล้วก็จะสึก อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมอยากบวชคือน้องชายย่าเคยบวชได้เป็นมหาแล้ว สึกออกมารับราชการเป็นครูจนได้เป็นครูใหญ่ ลึกๆแล้วปู่มหา มีอิทธิพลต่อผมไม่น้อยตอนเป็นเด็ก 


...ผมบวชเป็นสามเณรอายุ 16 ปี บวชแล้วได้เรียน นักธรรม บาลี ทำให้ผมมีความสุขกับการเรียนมาก เพราะว่าลึกๆแล้วผมรักการเรียนมาก แต่ฐานะทางบ้านไม่สามารถส่งเรียนต่อได้ พอได้บวชเป็นสามเณรแล้วได้เรียนต่อ ผมมีความสุขมากๆ ตอนแรกว่าจะบวชประมาณหกเดือน ให้แม่สบายใจ แต่หลังจากได้เรียนต่อแล้ว ผมลืมวันสึกเลย ได้ไปเรียนบาลีที่วัดในวัง พระอารามหลวง ต.นาทวี อ.นาทวี จ.สงขลา และที่วัดแก้วโกรวาราม พระอารามหลวง ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.กระบี่ 

ผมได้อุปสมบทเป็นพระที่วัดแก้วโกรวาราม จ.กระบี่ พร้อมกับสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ที่วัดแก้วโกรวาราม จ.กระบี่ หลังจากนั้นได้ย้ายมาประจำวัดที่วัดโพธินิมิตรสถิตมหาสีมาราม แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ (ตลาดพลู) พร้อมกันนั้น ได้เรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.รุ่น 46) เรียนห้องเดียวกันกับท่านพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต 


...หลังจากเรียนจบที่ มจร. แล้ว ผมได้ไปสมัครเป็นพระธรรมทูตสายต่างประเทศที่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อบรมเสร็จแล้วผมได้ไปอยู่ที่วัดสันติธรรมาราม เมืองโคโรลาโดสปริงส์ รัฐโคโรลาโด ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้ย้ายไปอยู่ที่วัดธรรมคุณาราม เมืองเลตัน รัฐยูท่าห์ ผมเรียนต่อภาษาอังกฤษ เพิ่มเติมที่เมืองเลตัน จนจบหลักสูตร ESL ผมได้เรียนการศึกษานอกโรงเรียน (GED) ผมสอบเทียบได้เท่ากับมัธยมปีที่หก 

...ขณะที่ผมอยู่ที่วัดธรรมคุณาราม มีทหารชาวพุทธได้มาไหว้พระที่วัด ได้คุยกับทหารท่านนี้ หลังจากคุยกันทำให้ได้หวนระลึกถึงเมื่อตอนเป็นเด็กว่าอยากเป็นทหาร ผมได้ย้ายมาอยู่วัดที่ลาสเวกัส ก็ได้มีทหารชาวพุทธมาเยี่ยมที่วัดด้วย ทำให้ผมได้รู้ว่ามีตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ สำหรับชาวพุทธด้วย ผมได้กลับไปเมืองไทย ได้ลาสิกขาบท และได้กลับมาสมัครเป็นอนุศาสนาจารย์  เพราะว่าผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับทหารเลย และต้องรอหนังสือรับรองการสมัครเป็นอนุศาสนาจารย์ จากพุทธสมาคมแห่งสหรัฐอเมริกาก่อน จึงจะสมัครเป็นอนุศาสนาจารย์ได้ 


...ผมได้ไปสอบทหาร สอบได้เป็นนายสิบโทเลยเพราะว่าจบปริญญาตรีแล้ว ผมได้เลือกลงในแผนกทำอาหาร ได้ไปฝึกทหารครั้งแรกที่ค่าย ฟอร์ท แจ๊คสัน รัฐเซาท์ แคโรไลน่า หลักจากฝึกจบหลักสูตรแล้ว ได้ไปประจำการที่ ฮาวาย อยู่ฮาวาย ได้ปีกว่า ผมได้หนังสือรับรองจาก พุทธสมาคมแห่งสหรัฐอเมริกา 

...ผมจึงได้ลาไปเรียนต่อปริญญาโท ทางด้านพุทธศาสนา ที่มหาวิทยาลัย University of the West ที่เมือง Los Angeles California ในปีเดียวกันนั้นผมก็ได้ติดยศเป็นร้อยตรี ผมเรียนต่อปริญญาโททางพุทธศาสนา อยู่สามปีครึ่งก็จบหลักสูตร 

...ผมได้กลับเข้าไปประจำการเป็นอนุศาสนาจารย์ ชาวพุทธคนแรก ที่ทหารกองประจำการในเดือนตุลาคม 2010 โดยได้ไปประจำการที่ค่าย ฟอร์ท หลุยส์ เมืองทาโคม่า รัฐวอชิงตัน 


...โดยงานหลักที่ประจำคือ ให้คำปรึกษาแก่ทหารที่มีปัญหา เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาชีวิต ความเครียด พูดง่ายๆ คือ ถ้าทหารมีปัญหาให้มาหา อนุศาสนาจารย์ ประมาณ 60 % ของงานที่ผมทำ คือ ให้คำปรึกษา โดยใช้หลักธรรมทางศาสนาเป็นหลัก  ผมได้สอนสมาธิและไหว้พระสวดมนต์ ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 6 โมงเย็น  และสอนสมาธิในเรือนจำทหาร ทุกวันพุธ 

...นอกจากนั้น ก็ได้จัดกิจกรรมสำคัญ เช่น วันวิสาขบูชา วันสงกรานต์ ในค่ายทหารด้วย และได้อบรมทหารและครอบครัว และจัดคอร์สสมาธิเบื้องต้น ในค่ายด้วย ซึ่งได้รับความสนใจจากทหารและครอบครัวทหารเป็นอย่างดี 

...ปัจจุบันผมประจำการอยู่ ค่ายฟอร์ท หลุยส์

-เรื่องเล่าดั่งนิยาย แต่กลับกลายเป็นจริงของคนๆ หนึ่งที่สู้ชีวิตจนเป็นนายทหาร ตำแหน่งอนุศาสนาจารย์ ชาวพุทธไทยคนแรก ในกองทัพบกอเมริกา-

23 มีนาคม 2558

ออกอากาศทางช่อง 3 family วันที่ 6 เมษายน 2558
https://m.youtube.com/watch?v=6VIeaqZCilI&feature=youtube_gdata_player
==================================
https://youtu.be/6VIeaqZCilI