"เถรวาท - มหายาน เป็นประเด็นร้อนจนได้ในรัฐธรรมมนูญ ฉบับ คสช."
+×÷=+×÷=
@ กรธ. ภายใต้การดูแลของ คสช. ได้เพิ่มประเด็นร้อนและเปราะบางไว้ใน รัฐธรรมมนูญคือ มาตรา ๖๗ ที่มีข้อความตอนหนึ่งว่า
"....รัฐพึงให้การอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเถรวาท...."
@ ประโยคนี้ประโยคเดียว กรธ. คิดว่าอาจเป็นวรรคทองที่ทำให้ได้ใจชาวพุทธไทย โดยเฉพาะพระสงฆ์ไทย
เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธเถรวาท แต่นี่คือเผือกร้อนที่ชาวพุทธไทยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เพราะสังคมไทยเวลานี้มิได้มีแต่เถรวาท แต่ยังมีคณะสงฆ์มหายานอยู่ร่วมด้วยภายใต้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ฉบับ พุทธศักราช ๒๕๐๕ และฉบับแก้ไข พุทธศักราช ๒๕๓๒
ซึ่งก็มีทั้งคณะสงฆ์จีน (พระจีน) กับคณะสงฆ์ญวณ (พระญวณ) คณะสงฆ์ ๒ นิกายนี้ได้รับการอุปถัมภ์จากรัฐบาลผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาตลอด
และการปกครองแม้ดูเหมือนจะเป็นอิสระแก่ตน แต่เอาเข้าจริงก็ต้องผ่านพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชของคณะสงฆ์ไทย ดังนั้น สมเด็จพระสังฆราชไทยจึงมีความหมายต่อคณะสงฆ์ทั่งสองนิกายด้วยเช่นกัน
@ คำถามก็คือ ที่ว่าร้อนแล้วมันร้อนอย่างไร ?
เรื่องต่อไปนี้น่าจะเป็นคำตอบได้...หลังจากวรรคทองนี้เผยแพร่ พระญวณรูปหนึ่งบึ่งมาหาผมเลย ท่านบอกว่ามาในนามคณะสงฆ์ของท่านเพื่อปรึกษาเรื่องรัฐธรรมมนูญ แล้วถามว่า..
การที่เขียนระบุว่า "พึงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาเถรวาท" จะมีผลกระทบมหายานไหม? ท่านเกรงว่า อาจทำให้เกิดการตีความตามตัวอักษรแล้วตัดการอุปถัมภ์คณะสงฆ์นิกายมหายาน เพราะอ้างว่าไม่มีเขียนไว้ในรัฐธรรมมนูญ
@ ท่านยังร้อนต่อ...ท่านบอกว่าถามคณะกรรมการร่าง กรรมการร่างว่าไม่มีปัญหา แต่อาตมาเกรงว่าจะมีในกาลข้างหน้า เพราะรัฐบาลบางรัฐบาลอาจตีความแบบไม่ให้
เรื่องนี้ ผมตอบท่านไม่ได้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด เพราะระยะหลังการตีความกฏหมายที่บ้านเราดูแปร่งๆมีทั้งตีความแบบช่วยคนที่ต้องการช่วยและเล่นงานคนที่ต้องการเล่นงาน นักกฏหมายไทยทำได้หมด...พระท่านกลัวอย่างนั้น
แต่ที่ผมไม่เห็นด้วย คือ ที่ท่านบอกว่า บางทีนายกรัฐมนตรีอาจไม่ใช่พุทธ ผมเลยบอกท่านว่า ถ้าท่านกลัวอย่างนั้นก็ต้องให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นไม่ได้ ...ท่านพยักหน้า
@ ประเด็นร้อนต่อมา คือ คำถามเรื่องเถรวาท-มหายาน ว่า คืออะไร ? คำถามนี้มาถึงผมเยอะมากจนผมต้องหยิบมาเขียน คำทั้งสองเป็นชื่อของนิกาย (school, sect) ซึ่งใช้แบ่งกลุ่มคนที่นับถือพระพุทธศาสนาออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่
กลุ่มหนึ่งเรียกว่า เถรวาท คือ กลุ่มที่ยึดถือปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระเถระ ๕๐๐ รูป เริ่มตั้งแต่พระมหากัสสปะทำสังคายนาไว้ ปัจจุบันกลุ่มนี้เผยแพร่เป็นหลักอยู่ในลังกา พม่า ไทย ลาว เขมร และในส่วนต่างๆของโลก เช่น อเมริกา ยุโรป
อีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่า มหายาน คือ กลุ่มที่ยึดแนวปฏิรูป ปรับวัฒนธรรมพระพุทธศาสนาบางเรื่องให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น เครื่องนุ่งห่มและพิธีกรรม เผยแพร่เป็นหลักอยู่ในจีน เกาหลี เวียตนาม ญี่ปุ่น
@ พระพุทธศาสนาไทยเข้าใจกันเป็นแบบเถรวาท แต่เถรวาทในไทยก็แยกไปเป็นมหานิกาย กับ ธรรมยุติกนิกาย ในสมัย ร. ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งแต่เดิมมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เราแบ่ง เป็นคามวาสี (พระบ้าน, พระอยู่วัดที่อยู่ในเขตหมู่บ้าน) กับ อรัญญวาสี หรือ วนวาสี (พระป่า, พระอยู่วัดที่อยู่ในเขตป่า) สมัยสุโขทัย แค่วัดอยู่นอกกำแพงเมืองก็เป็นวัดป่าแล้ว
พระในเมืองไทยจาก ๒ นิกาย เรียกสั้นๆว่า พระธรรมยุต พระมหานิกาย ซึ่ง ณ วันนี้ก็แยกไม่ออก เพราะมีวิถีชีวิตไม่ต่างกัน เช้าบิณฑบาต สายลงทำวัตรเช้า เย็นทำวัตรเย็น กลางวันรับกืจนิมนต์ เหมือนกัน เป็นเนื้อนาบุญเหมือนกัน รับการพระราชทานสมณศักดิ์จากพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน รับการถวายปัจจัย ๔ และสิ่งเกินปัจจัย ๔ คือเงินเหมือนกัน
มองในแง่ดี พระสองนิกายที่ทำประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองก็ทำเหมือนกัน เช่น สอนประชาชน สร้างโรงเรียนโรงพยาบาลให้บริการสังคมเหมือนกัน
มองในแง่ลบ ส่วนที่เห็นแก่ตัวติดสุขก็มีเหมือนกัน
@ ในแง่เป็นสมเด็จสังฆราช ...เจ้าประคุณสมเด็จทั้งสองนิกายก็มีสิทธิ์และอยากใข้สิทธิ์เหมือนกัน แต่ว่าพระท่าน "เก็บอาการ" เก่ง เพราะถูกฝึกให้เก็บมานาน
เหมือนกันตามพระธรรมวินัยและจารีตประเพณี แต่ปัจจุบัน ที่เสียหายก็เพราะ ฆราวาสใหญ่โตบางคนที่ไปใกล้ชิดพระยุพระให้ความหวังพระ มีส่วนทำให้ท่านที่น่าจะรอคิวได้เก็บอาการไม่ค่อยอยู่ เลยเกิดเรื่องราวใหญ่โตบานปลาย ขายหน้ากันไปทั้วประเทศ
เรื่องนี้ลำพังคณะสงฆ์จบไปนานแล้ว แต่นี่ฆราวาสไปเล่นด้วย เล่นแบบมีอคติเลยไม่จบ...
@ กลับมาเรื่องเผือกร้อน เถรวาท-มหายาน ประเด็นนี้สามารถใช้ทำให้เกิดความแตกแยกได้เลย ผมทราบว่า มีบางฝ่ายกำลังใช้เป็นประเด็นไปยุพระมหายานให้มองพระเถรวาทในแง่ร้ายเห็นแก่ตัว
....แต่ผมเชื่อว่ายุไม่สำเร็จหรอก เพราะพระท่านรู้ทันและรู้ว่าคณะสงฆ์เถรวาทไม่รู้เรื่อง และญาติโยมชาวพุทธของทั้งสองนิกายก็ใจกว้างด้วย ไหว้พระทั้งสองนิกาย ถึงคราวสงกรานต์ไปวัดเถรวาท แต่ถึงคราวต้องการโชคลาภไปวัดมหายาน(ไหว้เจ้าแม่กวนอิม) มิหนำซ้ำเลยไปวัดอขกสีลม (ไหว้พระพิฆเนศ)
@ อย่างไรก็ตาม เราชาวพุทธรู้ว่า พระมหายานไม่สบายใจในวรรคทองของรัฐธรรมมนูญ เรารับจะดูแล...
นี่แหละถึงต้องมีนักการเมืองชาวพุทธไปทำงานในสภา..นะพ่อแม่พี่น้อง
ดร.บรรจบ บรรณรุจิ นักวิชาการพระพุทธศาสนา
วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2559
เวลานี้ ชาวพุทธไทยตื่นแบบไหน ??
"ตื่น.... ตื่นแบบ'พุทธะ' หรือ ตื่นแบบ'ชาคริยะ'
เวลานี้ ชาวพุทธไทยตื่นแบบไหน
ฟังเสียงจากพระป่าตื่นใน ฝากไปถึงผู้มีอำนาจ"
@ ช่วงเทศกาลวันอาสาฬหบูชานี้ ผมขอคุยเริ่อง"ตื่น" สักหน่อย เผื่อว่าจะทำให้สบายใจเบาใจขึ้นมาบ้าง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เจอเรื่องหนักหนามาตลอด ถูกด่าไอ้เหี้ยไอ้สัตว์ ถูกขู่ ถูกให้ของลับ...เรื่องให้ของลับนี่ ถ้าให้กันได้และรับได้จริงๆ ป่านนี้ ผมคงมีเหลือเฟือ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะถือว่า โลกธรรม คือความจริงในโลกที่ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น แต่โลกธรรมฝ่ายไม่น่าชอบใจนี้ สำหรับคนทำงานที่ไม่ได้หวังให้ตัวเองได้อย่างพวกเรา ยิ่งได้ยิ่งแกร่ง หากมองให้เป็น..
@ คำว่า "ตื่น" เป็นคำไทย เมื่อไปเทียบกับคำบาลีเทียบได้กับ พุทธะ และ ชาคริยะ
พุทธะ คือ ตื่นจากิเลส เพราะมีสติสมบูรณ์ ผลที่ออกมาจึงเป็น รู้แล้วตื่นพร้อมเบิกบาน เพราะไม่มีกิเลสมาทำให้ง่วง สลึมสะลือ และหลับใหล ซึ่งพระฎีกาจารย์เรียกการหลับแบบนี้อย่างไพเราะเพราะพริ้งเลยว่า "กิเลสนิททา หรือ กิเลสนิทรา - หลับด้วยกิเลส"
ส่วน ชาคริยะ คือ ตื่นแบบตื่นนอน ตื่นมาใช้ชีวิตทำงาน มีศัตรูสำคัญ คือ โกสัชชะ (ความเกียจคร้าน) หรือเรียกให้หยาบหน่อยก็ว่า ความขี้เกียจ
@ มีพระสูตรหลายสูตรที่แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ใช้การตื่นแบบชาคริยะพัฒนาตนเองไปสู่การตื่นแบบพุทธะ โดยทรงเรียกการใช้นี้ว่า "ชาคริยานุโยค" คือ ทำตัวให้ตื่นให้มาก แต่ตื่นด้วยสติ ตามแนวสติปัฏฐาน คือ ตื่นเพราะตามดูกาย เวทนา จิต ธรรม
@ ตื่นแบบพุทธะกับตื่นแบบชาคริยะ ผมขอเรียกง่ายๆว่า "ตื่นใน ตื่นนอก" พุทธะคือตื่นใน สติอยู่ในตัว ควบคุมความคิดและพฤติกรรมได้ และตื่นในนี้ปรากฏได้แม้ในเวลาที่หลับ จะนั่งหลับหรือนอนหลับก็ได้ ส่วนชาคริยะ คือ ตื่นนอก หมายถึงประสาทตื่น ตื่นมารับรู้และเคลื่อนไหวอิริยาบถในชีวิตประจำวัน
@ หากเราเคยฝึกสติกันมาบ้าง ก็จะมีประสบการณ์คล้ายๆกัน คือ หากฝึกจนตื่นในได้ ก็จะร่าเริงเบิกบาน และสามารถตื่นตัวรับรู้สถานการณ์ข้างนอกได้อย่างเท่าทัน นั่นคือ ตื่นในใช้เป็นตื่นนอกได้ แต่ต้องฝึกหัดใช้ เพราะบางท่านตื่นใน แต่ไม่ยอมเอามาใช้ให้เป็นตื่นนอกด้วย เพราะตัณหาหรือความรักตัวติดสุขไม่ยอม กลัวจะเสียความสุขไป
@ ผมเคยพบนักกัมมัฏฐานตื่นใน แต่ใช้เป็นตื่นนอกไม่เป็น ก็จะเอาแต่สุขเฉพาะตัว สังคมหรือสถาบันพระพุทธศาสนาจะเป็นจะตายยังไงไม่สน เอาตัวเองก่อน ดังนั้น นักกัมมัฏฐานทั้งหลายคงต้องฝึกใช้ตื่นในให้เกิดประโชน์ เพราะตอนนี้สถานการณ์พระพุทธศาสนาในบ้านเราต้องการชาวพุทธผู้ตื่นในแล้วใช้เป็นตื่นนอกได้...ไม่อย่างนั่น วัดถูกทุบถูกรื้อทิ้งหมด...แล้วจะไปนั่งตื่นในที่ไหนกันเล่า ?
@ สำหรับตื่นนอก หากขาดตื่นในควบคุมก็จะขาดความหนักแน่นมั่นคงและแหลมคม อยู่ไป ๆ ไม่ช้าเสร็จ ถูกลาภยศดึงถอยหลังหมด ในที่สุดก็หลับ แล้วหลับใหลจนห่วงอะไรไม่เป็นนอกจากห่วงตัวเอง...
@ วันนี้ ก่อนเขียนเรื่องนี้ ผมได้รับข้อเขียนจาก"พระป่าตื่นใน" รูปหนึ่ง ท่านเขียนมาถึงผมว่า
"...ช่วงนี้ทางต่างประเทศมีการก่อการร้ายกันหนักมือขึ้น บ้านเราถ้ามัวแต่มาไล่จับบุคคลที่เห็นต่างกับตนเองอยู่ ระวังว่าถ้าเขาก่อเหตุแล้วจะป้องกันไม่ทัน ถ้าเราสามารถทุ่มเททรัพยากร ในการติดตามผู้ก่อการร้ายที่จะเข้ามาในประเทศของเราได้ เหมือนกับทุ่มเททรัพยากรในการสืบข่าวเก็บข่าวจากฝ่ายตรงข้าม อาตมายืนยันว่าต่อให้สุดยอดผู้ก่อการร้ายก็ทำอะไรบ้านเราไม่ได้ ต้องบอกว่าเรื่องฉลาด ๆ ไม่ทำ แต่เรื่องโง่ ๆ ขยันกันนัก...!
ในการปกครองประเทศเราต้องดูตัวอย่างในหลวง พระองค์ท่านเอาปากท้องประชาชนเป็นใหญ่ โครงการพระราชดำริทุกโครงการเป็นไปเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนทั้งนั้น ทุกรัฐบาลก็เห็นอยู่ ก็แค่เอาแนวพระราชดำริมาปฏิบัติให้เกิดผลเท่านั้นเอง
เราไม่สามารถที่จะบังคับให้คนทุกคนเห็นเหมือนกับเรา คิดเหมือนกับเราได้ เพราะความต่างของสภาพจิต ตลอดจนกระทั่งประสบการณ์ และในสิ่งที่ตนเองโดนกระทำมา ย่อมทำให้คนคิดต่างกันได้ แต่ถ้ายึดถือตามกฎเกณฑ์กติกา ถึงเวลาเลือกตั้งกันใหม่ ถ้าหากอีกฝ่ายหนึ่งมีคนเห็นด้วยจำนวนมาก เขาชนะเข้าไปปกครอง เรื่องก็จบ
เพียงแต่ปัจจุบันนี้เราฉีกกฎเกณฑ์กติกาทิ้ง แล้วมาตั้งกฎเกณฑ์กติกาเองเสียใหม่ โดยอ้างว่าในขณะนี้ไม่ใช่ระยะเวลาปกติ ก็ที่ไม่ปกติเพราะคุณไปทำให้ไม่ปกติ แทนที่จะปล่อยให้เป็นปกติไว ๆ กลับพยายามที่จะอยู่ต่อไปเพื่อให้ไม่ปกติยิ่ง ๆ ขึ้น ฟังแล้วเพลียจิต...!"
@ นี่แหละครับ ตัวอย่างของพระตื่นในที่ใช้เป็นตื่นนอก...ท่านรับปากแล้วครับ จะออกป่า มากู้สถานการณ์พระพุทธศาสนากับพวกเรา เมื่อได้เวลา....
@ ผมดูแล้วท่านฉลาดกว่าพวกเราหลายเท่า แต่ท่านก็ยอมรับว่า พวกเรามาถูกทางแล้ว..สหายธรรมทั้งหลาย ไปต่อกันนะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=485739744957580&id=301226330075590
เวลานี้ ชาวพุทธไทยตื่นแบบไหน
ฟังเสียงจากพระป่าตื่นใน ฝากไปถึงผู้มีอำนาจ"
@ ช่วงเทศกาลวันอาสาฬหบูชานี้ ผมขอคุยเริ่อง"ตื่น" สักหน่อย เผื่อว่าจะทำให้สบายใจเบาใจขึ้นมาบ้าง เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เจอเรื่องหนักหนามาตลอด ถูกด่าไอ้เหี้ยไอ้สัตว์ ถูกขู่ ถูกให้ของลับ...เรื่องให้ของลับนี่ ถ้าให้กันได้และรับได้จริงๆ ป่านนี้ ผมคงมีเหลือเฟือ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะถือว่า โลกธรรม คือความจริงในโลกที่ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น แต่โลกธรรมฝ่ายไม่น่าชอบใจนี้ สำหรับคนทำงานที่ไม่ได้หวังให้ตัวเองได้อย่างพวกเรา ยิ่งได้ยิ่งแกร่ง หากมองให้เป็น..
@ คำว่า "ตื่น" เป็นคำไทย เมื่อไปเทียบกับคำบาลีเทียบได้กับ พุทธะ และ ชาคริยะ
พุทธะ คือ ตื่นจากิเลส เพราะมีสติสมบูรณ์ ผลที่ออกมาจึงเป็น รู้แล้วตื่นพร้อมเบิกบาน เพราะไม่มีกิเลสมาทำให้ง่วง สลึมสะลือ และหลับใหล ซึ่งพระฎีกาจารย์เรียกการหลับแบบนี้อย่างไพเราะเพราะพริ้งเลยว่า "กิเลสนิททา หรือ กิเลสนิทรา - หลับด้วยกิเลส"
ส่วน ชาคริยะ คือ ตื่นแบบตื่นนอน ตื่นมาใช้ชีวิตทำงาน มีศัตรูสำคัญ คือ โกสัชชะ (ความเกียจคร้าน) หรือเรียกให้หยาบหน่อยก็ว่า ความขี้เกียจ
@ มีพระสูตรหลายสูตรที่แสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ใช้การตื่นแบบชาคริยะพัฒนาตนเองไปสู่การตื่นแบบพุทธะ โดยทรงเรียกการใช้นี้ว่า "ชาคริยานุโยค" คือ ทำตัวให้ตื่นให้มาก แต่ตื่นด้วยสติ ตามแนวสติปัฏฐาน คือ ตื่นเพราะตามดูกาย เวทนา จิต ธรรม
@ ตื่นแบบพุทธะกับตื่นแบบชาคริยะ ผมขอเรียกง่ายๆว่า "ตื่นใน ตื่นนอก" พุทธะคือตื่นใน สติอยู่ในตัว ควบคุมความคิดและพฤติกรรมได้ และตื่นในนี้ปรากฏได้แม้ในเวลาที่หลับ จะนั่งหลับหรือนอนหลับก็ได้ ส่วนชาคริยะ คือ ตื่นนอก หมายถึงประสาทตื่น ตื่นมารับรู้และเคลื่อนไหวอิริยาบถในชีวิตประจำวัน
@ หากเราเคยฝึกสติกันมาบ้าง ก็จะมีประสบการณ์คล้ายๆกัน คือ หากฝึกจนตื่นในได้ ก็จะร่าเริงเบิกบาน และสามารถตื่นตัวรับรู้สถานการณ์ข้างนอกได้อย่างเท่าทัน นั่นคือ ตื่นในใช้เป็นตื่นนอกได้ แต่ต้องฝึกหัดใช้ เพราะบางท่านตื่นใน แต่ไม่ยอมเอามาใช้ให้เป็นตื่นนอกด้วย เพราะตัณหาหรือความรักตัวติดสุขไม่ยอม กลัวจะเสียความสุขไป
@ ผมเคยพบนักกัมมัฏฐานตื่นใน แต่ใช้เป็นตื่นนอกไม่เป็น ก็จะเอาแต่สุขเฉพาะตัว สังคมหรือสถาบันพระพุทธศาสนาจะเป็นจะตายยังไงไม่สน เอาตัวเองก่อน ดังนั้น นักกัมมัฏฐานทั้งหลายคงต้องฝึกใช้ตื่นในให้เกิดประโชน์ เพราะตอนนี้สถานการณ์พระพุทธศาสนาในบ้านเราต้องการชาวพุทธผู้ตื่นในแล้วใช้เป็นตื่นนอกได้...ไม่อย่างนั่น วัดถูกทุบถูกรื้อทิ้งหมด...แล้วจะไปนั่งตื่นในที่ไหนกันเล่า ?
@ สำหรับตื่นนอก หากขาดตื่นในควบคุมก็จะขาดความหนักแน่นมั่นคงและแหลมคม อยู่ไป ๆ ไม่ช้าเสร็จ ถูกลาภยศดึงถอยหลังหมด ในที่สุดก็หลับ แล้วหลับใหลจนห่วงอะไรไม่เป็นนอกจากห่วงตัวเอง...
@ วันนี้ ก่อนเขียนเรื่องนี้ ผมได้รับข้อเขียนจาก"พระป่าตื่นใน" รูปหนึ่ง ท่านเขียนมาถึงผมว่า
"...ช่วงนี้ทางต่างประเทศมีการก่อการร้ายกันหนักมือขึ้น บ้านเราถ้ามัวแต่มาไล่จับบุคคลที่เห็นต่างกับตนเองอยู่ ระวังว่าถ้าเขาก่อเหตุแล้วจะป้องกันไม่ทัน ถ้าเราสามารถทุ่มเททรัพยากร ในการติดตามผู้ก่อการร้ายที่จะเข้ามาในประเทศของเราได้ เหมือนกับทุ่มเททรัพยากรในการสืบข่าวเก็บข่าวจากฝ่ายตรงข้าม อาตมายืนยันว่าต่อให้สุดยอดผู้ก่อการร้ายก็ทำอะไรบ้านเราไม่ได้ ต้องบอกว่าเรื่องฉลาด ๆ ไม่ทำ แต่เรื่องโง่ ๆ ขยันกันนัก...!
ในการปกครองประเทศเราต้องดูตัวอย่างในหลวง พระองค์ท่านเอาปากท้องประชาชนเป็นใหญ่ โครงการพระราชดำริทุกโครงการเป็นไปเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนทั้งนั้น ทุกรัฐบาลก็เห็นอยู่ ก็แค่เอาแนวพระราชดำริมาปฏิบัติให้เกิดผลเท่านั้นเอง
เราไม่สามารถที่จะบังคับให้คนทุกคนเห็นเหมือนกับเรา คิดเหมือนกับเราได้ เพราะความต่างของสภาพจิต ตลอดจนกระทั่งประสบการณ์ และในสิ่งที่ตนเองโดนกระทำมา ย่อมทำให้คนคิดต่างกันได้ แต่ถ้ายึดถือตามกฎเกณฑ์กติกา ถึงเวลาเลือกตั้งกันใหม่ ถ้าหากอีกฝ่ายหนึ่งมีคนเห็นด้วยจำนวนมาก เขาชนะเข้าไปปกครอง เรื่องก็จบ
เพียงแต่ปัจจุบันนี้เราฉีกกฎเกณฑ์กติกาทิ้ง แล้วมาตั้งกฎเกณฑ์กติกาเองเสียใหม่ โดยอ้างว่าในขณะนี้ไม่ใช่ระยะเวลาปกติ ก็ที่ไม่ปกติเพราะคุณไปทำให้ไม่ปกติ แทนที่จะปล่อยให้เป็นปกติไว ๆ กลับพยายามที่จะอยู่ต่อไปเพื่อให้ไม่ปกติยิ่ง ๆ ขึ้น ฟังแล้วเพลียจิต...!"
@ นี่แหละครับ ตัวอย่างของพระตื่นในที่ใช้เป็นตื่นนอก...ท่านรับปากแล้วครับ จะออกป่า มากู้สถานการณ์พระพุทธศาสนากับพวกเรา เมื่อได้เวลา....
@ ผมดูแล้วท่านฉลาดกว่าพวกเราหลายเท่า แต่ท่านก็ยอมรับว่า พวกเรามาถูกทางแล้ว..สหายธรรมทั้งหลาย ไปต่อกันนะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=485739744957580&id=301226330075590
แผนร้าย ขบวนการล้มพุทธ !!!
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก
ล้มพุทธในไทยได้ ก็เหมือนตัดรากแก้วพระพุทธศาสนาของโลก**
**แผนร้าย ขบวนการล้มพุทธในไทย**
1. ทำลายศรัทธาต่อพระสงฆ์
ด้วยการใส่ร้าย ป้ายสี ดูถูก หมิ่นหยามต่อพระภิกษุสงฆ์ ผ่านสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง
- นำเสนอข่าวไม่ดีของพระ เมื่อมีข่าวไม่ดีของพระเพียงไม่กี่รูป ก็นำเสนออย่างเอิกเกริก แต่เมื่อพระอีกหลายแสนรูปทำความดี ไม่นำเสนอข่าว
- ส่งคนมาปลอมบวช เพียงไม่ กี่ปีก็เป็นเจ้าอาวาส แล้วสร้างเรื่องเสียหายให้เป็นข่าวรายวัน ให้สังคมรู้สึกว่า พระสงฆ์ไม่ไหวแล้ว มีแต่เรื่องเสียหาย
- ตัดต่อภาพพระสงฆ์โดยเฉพาะพระที่มีคนศรัทธามาก ให้เป็นภาพเสียหาย แต่งตัวแปลกประหลาด แต่งหน้าทาปาก แล้วชักชวนให้แชร์ต่อๆ กันไป เพื่อให้ชาวพุทธคุ้นชินกับการด่าพระ มองพระเป็นตัวตลก
2. ทำลายศรัทธาและความเชื่อมั่น ต่อองค์กรปกครองสงฆ์
อาศัยจุดอ่อนที่องค์กรสงฆ์ไม่เชี่ยวชาญในการใช้สื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างกระแสผิดๆ ว่า องค์กรปกครองสงฆ์เชื่องช้า ไม่มีประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยเส้นสาย การติดสินบน ประนามหยามเหยียดผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ
จนถึงผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราช
ตีให้เจ็บ ตีให้อาย ตีให้น่วม ตีให้ยอม ตีให้อยู่ ตีให้สยบ แล้วก็จะรื้อพรบ.สงฆ์ ให้ฆราวาสมาปกครองพระ ยึดทรัพย์สินของพระและวัดให้ฆราวาสเข้าควบคุม บีบให้พระอยู่ไม่ได้สึกออกไป วัดจะร้าง วัดร้างมากๆ ก็ยึดเอาไปทำมัสยิด เหมือนที่เกิดขึ้นในภาคใต้
มานิตา ธนาภูวนัตถ์ ขบวนการล้มพุทธ!!!
ล้มพุทธในไทยได้ ก็เหมือนตัดรากแก้วพระพุทธศาสนาของโลก**
**แผนร้าย ขบวนการล้มพุทธในไทย**
1. ทำลายศรัทธาต่อพระสงฆ์
ด้วยการใส่ร้าย ป้ายสี ดูถูก หมิ่นหยามต่อพระภิกษุสงฆ์ ผ่านสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง
- นำเสนอข่าวไม่ดีของพระ เมื่อมีข่าวไม่ดีของพระเพียงไม่กี่รูป ก็นำเสนออย่างเอิกเกริก แต่เมื่อพระอีกหลายแสนรูปทำความดี ไม่นำเสนอข่าว
- ส่งคนมาปลอมบวช เพียงไม่ กี่ปีก็เป็นเจ้าอาวาส แล้วสร้างเรื่องเสียหายให้เป็นข่าวรายวัน ให้สังคมรู้สึกว่า พระสงฆ์ไม่ไหวแล้ว มีแต่เรื่องเสียหาย
- ตัดต่อภาพพระสงฆ์โดยเฉพาะพระที่มีคนศรัทธามาก ให้เป็นภาพเสียหาย แต่งตัวแปลกประหลาด แต่งหน้าทาปาก แล้วชักชวนให้แชร์ต่อๆ กันไป เพื่อให้ชาวพุทธคุ้นชินกับการด่าพระ มองพระเป็นตัวตลก
2. ทำลายศรัทธาและความเชื่อมั่น ต่อองค์กรปกครองสงฆ์
อาศัยจุดอ่อนที่องค์กรสงฆ์ไม่เชี่ยวชาญในการใช้สื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างกระแสผิดๆ ว่า องค์กรปกครองสงฆ์เชื่องช้า ไม่มีประสิทธิภาพ เต็มไปด้วยเส้นสาย การติดสินบน ประนามหยามเหยียดผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ
จนถึงผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราช
ตีให้เจ็บ ตีให้อาย ตีให้น่วม ตีให้ยอม ตีให้อยู่ ตีให้สยบ แล้วก็จะรื้อพรบ.สงฆ์ ให้ฆราวาสมาปกครองพระ ยึดทรัพย์สินของพระและวัดให้ฆราวาสเข้าควบคุม บีบให้พระอยู่ไม่ได้สึกออกไป วัดจะร้าง วัดร้างมากๆ ก็ยึดเอาไปทำมัสยิด เหมือนที่เกิดขึ้นในภาคใต้
มานิตา ธนาภูวนัตถ์ ขบวนการล้มพุทธ!!!
พิธีถวายมหาสังฆทานคณะสงฆ์ 250 รูป
รองสมเด็จพระสังฆราชศรีลังกา 2 นิกาย !!+++
ท่านเมตตามาเป็นประธานในพิธีถวายมหาสังฆทานคณะสงฆ์ 250 รูป
และพิธีสวดธัมจักรกัปปวัตนสูตรถวายแด่หลวงพ่อธัมมชโย.
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2559
ณ วัดอนุรุทธะอารนา เมืองมาตะเล ประเทศศรีลังกา
#พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว
#48ปีวันธรรมชัย
Both Anunayaka of Siam Mahanikaya, Malwatta and Asikiriya lead 250 monks to attend the Mahasanghadana and Dhammacakkappawattanasutta reciting Ceremony blessed for Most Ven.Phrathepyanmahamuni(Dhammajayo Bhikkhu) and the land for Siam-Lanka Pathumma Cetiya on 15 August 2016
#WeLoveVenDhammajayo
#WeLoveBuddhism
#48thDhammachaiDay
#Dhammakaya

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/dhammakayainter/posts/1777427685835024
ท่านเมตตามาเป็นประธานในพิธีถวายมหาสังฆทานคณะสงฆ์ 250 รูป
และพิธีสวดธัมจักรกัปปวัตนสูตรถวายแด่หลวงพ่อธัมมชโย.
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2559
ณ วัดอนุรุทธะอารนา เมืองมาตะเล ประเทศศรีลังกา
#พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว
#48ปีวันธรรมชัย
Both Anunayaka of Siam Mahanikaya, Malwatta and Asikiriya lead 250 monks to attend the Mahasanghadana and Dhammacakkappawattanasutta reciting Ceremony blessed for Most Ven.Phrathepyanmahamuni(Dhammajayo Bhikkhu) and the land for Siam-Lanka Pathumma Cetiya on 15 August 2016
#WeLoveVenDhammajayo
#WeLoveBuddhism
#48thDhammachaiDay
#Dhammakaya

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/dhammakayainter/posts/1777427685835024
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559
ชาวพุทธ หยุดทะเลาะกันเรื่องคำสอน !!
ชาวพุทธ หยุดทะเลาะกันเรื่องคำสอน !!
----------------------------------------------------
- โจมตีท่านพุทธทาสว่าปฏิเสธนรกสวรรค์ เทวดานางฟ้า
จะฉีกพระไตรปิฎกทั้ง 60%
- โจมตีธรรมกายว่า สอนนิพพานเป็นอัตตา
- โจมตีพระป่า ที่สอนว่า อาจารย์มั่นไปพบพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ แสดงว่านิพพานแล้วยังมีตัวตนอยู่
- โจมตีท่านฤาษีลิงดำว่า สอนว่านิพพานเป็นอัตตา ไปเห็นนิพพานมีหอระฆัง มีสระน้ำ วิหาร
-โจมตีท่านคึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง ว่าสอนเน้นพุทธวจนะ แบบตามใจฉัน เพี้ยน ฯลฯ
สร้างความรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังในหมู่ชาวพุทธ เพราะเกรงว่าพระธรรมวินัยจะถูกทำให้วิปริตผิดเพี้ยน
ความจริงคือไม่มีใครทำให้พระธรรมวินัยวิปริตได้ เพราะพระธรรมวินัย คำสอนของพระพุทธเจ้าได้รวบรวมไว้ในพระไตรปิฎก
แม้พระอาจารย์แต่ละสำนักจะตีความไม่ตรงกันและสอนตามความเข้าใจของตน แต่พระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้วิปริตผิดเพี้ยนไปแต่ประการใด
เราทุกคนสามารถศึกษาเทียบเคียงได้ตลอด และไม่ต้องกลัวว่า ถ้ามีคนไปเชื่อศรัทธาคำสอนนั้นๆ มาก เดี๋ยวพระธรรมวินัยจะวิปริตไป
เพราะไม่ว่าผู้นั้นจะมีอิทธิพลมากเพียงใด อาทิ ท่านพุทธทาส มีศิษยานุศิษย์เคารพศรัทธามาก หรือขนาดพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้เรียบเรียงคัมภีร์อรรถกถาเกือบทั้งหมด มีอิทธิพลสูงสุดในรอบ 2,000 ปีมานี้ ก็มีผู้ไม่เห็นด้วยกับท่านในหลายประเด็น เพราะเรามีพระไตรปิฎกเป็นตัวเทียบเคียง
ลองคิดดูว่า ถ้าตุลาการรัฐธรรมนูญลงมติในเรื่องใดแล้ว ฝ่ายเสียงข้างมากโจมตีฝ่ายเสียงข้างน้อยว่า วินิจฉัยผิด ทำรัฐธรรมนูญให้วิปริต เป็นภัยต่อรัฐธรรมนูญ ต้องขจัดให้หมดไป คงปั่นป่วนวุ่นวายไปทั้งประเทศ
ตราบใดที่ยังเป็นการเข้าใจด้วยความคิด ไม่มีทางที่จะทุกคนจะเห็นตรงกัน ตั้งใจปฏิบัติธรรมทำความดีไปเถิด เข้าถึงธรรมเกิดญาณทัศนะเมื่อใดก็จะเห็นตรงกันเอง
สรุป ไม่มีใครในโลก ไม่ว่ามีอิทธิพลมากเพียงใด จะทำพระธรรมวินัยให้วิปริตได้ เพราะฉะนั้น ชาวพุทธอย่าหลงประเด็น อย่าให้เขาเสี้ยมให้ทะเลาะกันด้วยเรื่องคำสอน
ไม่มีใครบิดเบือนปลอมปนพระไตรปิฎกได้
พระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประมวลสรุปอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งมีการพิมพ์เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางนับล้านๆชุด ทั้งใน ไทย พม่า ลังกา ลาว กัมพูชา และทั่วโลก
ดังนั้น ไม่มีใครสามารถบิดเบือนปลอมปนพระไตรปิฎกได้ เพราะถ้าใครทำ เมื่อเอาเนื้อหาไปเทียบกับพระไตรปิฎกที่แพร่หลายอยู่มากมาย ก็จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นของแปลกปลอม ไม่มีใครยอมรับ ผู้ทำก็มีแต่จะเสียไปเอง
ตื่นเถิดชาวพุทธ! อย่าตกเป็นเหยื่อของการสร้างความเกลียดชัง แตกแยก
ด้วยการโจมตีว่าจะมีการปลอมปนพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้า คือ พระศาสดาที่มีการบริหารจัดการอย่างเยี่ยมยอด !!
พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองและคณะสงฆ์ดำรงอยู่รักษาคำสอนมาได้ยาวนานกว่า 2,500 ปี
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือ ความสามารถในการบริหารจัดการของพระพุทธเจ้า.
พระองค์ได้ทรงวางระบบระเบียบในการบริหารคณะสงฆ์ไว้อย่างดียิ่ง ทั้งระเบียบการรับสมาชิกใหม่เข้าหมู่ คือ การบวช ซึ่งมีการปรับวิธีการเป็นระยะตามสภาพการเจริญเติบโตของคณะสงฆ์
จากพระองค์บวชให้เพียงพระองค์เดียว (เหมือนระบบการบริหารแบบเถ้าแก่) ไปสู่การมอบอำนาจการบวชให้คณะสงฆ์ ( เหมือนการบริหารแบบหมู่คณะ ) ระเบียบการอยู่ร่วมกันของคณะสงฆ์
การจำพรรษา การปวารณา การรับกฐิน การรับพระอาคันตุกะ การขบฉัน ฯลฯ ทรงวางระบบไว้อย่างดี
ทรงแต่งตั้งอัครสาวกซ้ายขวา และพระอสีติสาวก 80 องค์ ช่วยในการเป็นต้นแบบในด้านต่างๆ และดูแลคณะสงฆ์
เมื่อมีพระภิกษุรูปใด กระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ชาวโลกติเตียน พระองค์ก็จะประชุมสงฆ์ สอบถามจนได้ความจริง
และบัญญัติสิกขาบท ห้ามไม่ให้สงฆ์รูปใดทำอย่างนั้นอีก ถ้าใครไปทำก็มีโทษหนักเบาตามการกระทำผิดนั้นๆ รวมเป็นศีล 227 ข้อของพระในปัจจุบัน
บทบัญญัติเหล่านี้รวบรวมอยู่ในพระวินัยปิฎก 8 เล่ม ความหนาหลายพันหน้า แสดงอย่างชัดเจนถึงความอัจฉริยะภาพในการบริหารจัดการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตรงนี้คณะสงฆ์และชาวพุทธทุกคนยึดถือเป็นแบบอย่างในการบริหารจัดการ การทำงานพระพุทธศาสนา
http://dbuddhist.com/content_open_blog013.html
ข้อมูลจากเพจ ปกป้องสังฆมณฑล
----------------------------------------------------
- โจมตีท่านพุทธทาสว่าปฏิเสธนรกสวรรค์ เทวดานางฟ้า
จะฉีกพระไตรปิฎกทั้ง 60%
- โจมตีธรรมกายว่า สอนนิพพานเป็นอัตตา
- โจมตีพระป่า ที่สอนว่า อาจารย์มั่นไปพบพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ แสดงว่านิพพานแล้วยังมีตัวตนอยู่
- โจมตีท่านฤาษีลิงดำว่า สอนว่านิพพานเป็นอัตตา ไปเห็นนิพพานมีหอระฆัง มีสระน้ำ วิหาร
-โจมตีท่านคึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง ว่าสอนเน้นพุทธวจนะ แบบตามใจฉัน เพี้ยน ฯลฯ
สร้างความรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังในหมู่ชาวพุทธ เพราะเกรงว่าพระธรรมวินัยจะถูกทำให้วิปริตผิดเพี้ยน
ความจริงคือไม่มีใครทำให้พระธรรมวินัยวิปริตได้ เพราะพระธรรมวินัย คำสอนของพระพุทธเจ้าได้รวบรวมไว้ในพระไตรปิฎก
แม้พระอาจารย์แต่ละสำนักจะตีความไม่ตรงกันและสอนตามความเข้าใจของตน แต่พระธรรมวินัยในพระไตรปิฎกก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้วิปริตผิดเพี้ยนไปแต่ประการใด
เราทุกคนสามารถศึกษาเทียบเคียงได้ตลอด และไม่ต้องกลัวว่า ถ้ามีคนไปเชื่อศรัทธาคำสอนนั้นๆ มาก เดี๋ยวพระธรรมวินัยจะวิปริตไป
เพราะไม่ว่าผู้นั้นจะมีอิทธิพลมากเพียงใด อาทิ ท่านพุทธทาส มีศิษยานุศิษย์เคารพศรัทธามาก หรือขนาดพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้เรียบเรียงคัมภีร์อรรถกถาเกือบทั้งหมด มีอิทธิพลสูงสุดในรอบ 2,000 ปีมานี้ ก็มีผู้ไม่เห็นด้วยกับท่านในหลายประเด็น เพราะเรามีพระไตรปิฎกเป็นตัวเทียบเคียง
ลองคิดดูว่า ถ้าตุลาการรัฐธรรมนูญลงมติในเรื่องใดแล้ว ฝ่ายเสียงข้างมากโจมตีฝ่ายเสียงข้างน้อยว่า วินิจฉัยผิด ทำรัฐธรรมนูญให้วิปริต เป็นภัยต่อรัฐธรรมนูญ ต้องขจัดให้หมดไป คงปั่นป่วนวุ่นวายไปทั้งประเทศ
ตราบใดที่ยังเป็นการเข้าใจด้วยความคิด ไม่มีทางที่จะทุกคนจะเห็นตรงกัน ตั้งใจปฏิบัติธรรมทำความดีไปเถิด เข้าถึงธรรมเกิดญาณทัศนะเมื่อใดก็จะเห็นตรงกันเอง
สรุป ไม่มีใครในโลก ไม่ว่ามีอิทธิพลมากเพียงใด จะทำพระธรรมวินัยให้วิปริตได้ เพราะฉะนั้น ชาวพุทธอย่าหลงประเด็น อย่าให้เขาเสี้ยมให้ทะเลาะกันด้วยเรื่องคำสอน
ไม่มีใครบิดเบือนปลอมปนพระไตรปิฎกได้
พระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประมวลสรุปอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งมีการพิมพ์เผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางนับล้านๆชุด ทั้งใน ไทย พม่า ลังกา ลาว กัมพูชา และทั่วโลก
ดังนั้น ไม่มีใครสามารถบิดเบือนปลอมปนพระไตรปิฎกได้ เพราะถ้าใครทำ เมื่อเอาเนื้อหาไปเทียบกับพระไตรปิฎกที่แพร่หลายอยู่มากมาย ก็จะรู้ได้ทันทีว่าเป็นของแปลกปลอม ไม่มีใครยอมรับ ผู้ทำก็มีแต่จะเสียไปเอง
ตื่นเถิดชาวพุทธ! อย่าตกเป็นเหยื่อของการสร้างความเกลียดชัง แตกแยก
ด้วยการโจมตีว่าจะมีการปลอมปนพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้า คือ พระศาสดาที่มีการบริหารจัดการอย่างเยี่ยมยอด !!
พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองและคณะสงฆ์ดำรงอยู่รักษาคำสอนมาได้ยาวนานกว่า 2,500 ปี
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือ ความสามารถในการบริหารจัดการของพระพุทธเจ้า.
พระองค์ได้ทรงวางระบบระเบียบในการบริหารคณะสงฆ์ไว้อย่างดียิ่ง ทั้งระเบียบการรับสมาชิกใหม่เข้าหมู่ คือ การบวช ซึ่งมีการปรับวิธีการเป็นระยะตามสภาพการเจริญเติบโตของคณะสงฆ์
จากพระองค์บวชให้เพียงพระองค์เดียว (เหมือนระบบการบริหารแบบเถ้าแก่) ไปสู่การมอบอำนาจการบวชให้คณะสงฆ์ ( เหมือนการบริหารแบบหมู่คณะ ) ระเบียบการอยู่ร่วมกันของคณะสงฆ์
การจำพรรษา การปวารณา การรับกฐิน การรับพระอาคันตุกะ การขบฉัน ฯลฯ ทรงวางระบบไว้อย่างดี
ทรงแต่งตั้งอัครสาวกซ้ายขวา และพระอสีติสาวก 80 องค์ ช่วยในการเป็นต้นแบบในด้านต่างๆ และดูแลคณะสงฆ์
เมื่อมีพระภิกษุรูปใด กระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ชาวโลกติเตียน พระองค์ก็จะประชุมสงฆ์ สอบถามจนได้ความจริง
และบัญญัติสิกขาบท ห้ามไม่ให้สงฆ์รูปใดทำอย่างนั้นอีก ถ้าใครไปทำก็มีโทษหนักเบาตามการกระทำผิดนั้นๆ รวมเป็นศีล 227 ข้อของพระในปัจจุบัน
บทบัญญัติเหล่านี้รวบรวมอยู่ในพระวินัยปิฎก 8 เล่ม ความหนาหลายพันหน้า แสดงอย่างชัดเจนถึงความอัจฉริยะภาพในการบริหารจัดการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตรงนี้คณะสงฆ์และชาวพุทธทุกคนยึดถือเป็นแบบอย่างในการบริหารจัดการ การทำงานพระพุทธศาสนา
http://dbuddhist.com/content_open_blog013.html
ข้อมูลจากเพจ ปกป้องสังฆมณฑล
วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559
ทำไมต้องทำบุญ และบุญคืออะไร???
"ทำไมต้องทำบุญ?"
โดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ
..เพราะ บุญ เป็นพลังงาน ที่มีพลังดึงดูด ความเจริญ มาสู่ชีวิต เป็นต้นเหตุ แห่งความสุข ความสำเร็จ ในชีวิต.
..ถ้าบุญน้อย อุปสรรคในชีวิตก็มาก
..ถ้าบุญมาก อุปสรรคในชีวิตก็น้อย
..ถ้าบุญอ่อนกำลังลง หรือ บุญหมด..
..บาปที่เคยทำไว้ ก็จะได้โอกาส ส่งผล
..ทำให้ชีวิต มีอุปสรรค ต่างๆนานา
..เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความสุข หมดอำนาจวาสนา เสียชื่อเสียงเกียรติยศ แม้คนที่รักกันก็หมดรัก แม้ทรัพย์ที่มีอยู่น้อยนิด ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้..
..ฉะนั้น การจะมี ทรัพย์สมบัติทุกอย่าง และ ความสมบูรณ์พร้อมในชีวิต ก็ต้องมีบุญ ที่มากเพียงพอ
..ซึ่งไม่ว่า จะอยู่ในสถานภาพใด ล้วนต้องอาศัยบุญทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยากอยู่แบบพอมีพอกิน หรือ คิดจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หรือ พระเจ้าจักรพรรดิ
..แม้กระทั่ง ปรารถนา ที่จะหมดกิเลส บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องมีบุญถึง บารมีถึง ถึงจะดำรงอยู่ในสภาวะนั้น ได้อย่างมั่นคง และมีความสุข
..ด้วยเหตุนี้ เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะสั่งสมบุญ
..เพราะบุญ คือ เบื้องหลังความสุข ความสำเร็จ ในชีวิตทุกระดับ อย่างแท้จริง..
แชร์เรื่องบุญไปก็ได้บุญ..
บุญและทาน ที่บังเกิดมี ในการส่งต่อ ขอให้เป็นอภิมหาบุญ ขอให้ผู้ที่ส่ง มีความสุข มีความเจริญ รุ่งเรือง ร่ำรวย มีความสุขกายสบายใจ มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่จน ปรารถนาสิ่งใด สมความปรารถนาทุกๆประการ ขอให้ผลบุญนั้น เห็นผลทันตา ด้วยเทอญ (อธิษฐาน) สาธุ
แชร์แบ่งบุญนี้โดย..
ท่านคมสรณ์ สรณะวาที
พระธรรมทูตอินเดีย
โดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ
..เพราะ บุญ เป็นพลังงาน ที่มีพลังดึงดูด ความเจริญ มาสู่ชีวิต เป็นต้นเหตุ แห่งความสุข ความสำเร็จ ในชีวิต.
..ถ้าบุญน้อย อุปสรรคในชีวิตก็มาก
..ถ้าบุญมาก อุปสรรคในชีวิตก็น้อย
..ถ้าบุญอ่อนกำลังลง หรือ บุญหมด..
..บาปที่เคยทำไว้ ก็จะได้โอกาส ส่งผล
..ทำให้ชีวิต มีอุปสรรค ต่างๆนานา
..เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีความสุข หมดอำนาจวาสนา เสียชื่อเสียงเกียรติยศ แม้คนที่รักกันก็หมดรัก แม้ทรัพย์ที่มีอยู่น้อยนิด ก็ยังรักษาไว้ไม่ได้..
..ฉะนั้น การจะมี ทรัพย์สมบัติทุกอย่าง และ ความสมบูรณ์พร้อมในชีวิต ก็ต้องมีบุญ ที่มากเพียงพอ
..ซึ่งไม่ว่า จะอยู่ในสถานภาพใด ล้วนต้องอาศัยบุญทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยากอยู่แบบพอมีพอกิน หรือ คิดจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี หรือ พระเจ้าจักรพรรดิ
..แม้กระทั่ง ปรารถนา ที่จะหมดกิเลส บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องมีบุญถึง บารมีถึง ถึงจะดำรงอยู่ในสภาวะนั้น ได้อย่างมั่นคง และมีความสุข
..ด้วยเหตุนี้ เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะสั่งสมบุญ
..เพราะบุญ คือ เบื้องหลังความสุข ความสำเร็จ ในชีวิตทุกระดับ อย่างแท้จริง..
แชร์เรื่องบุญไปก็ได้บุญ..
บุญและทาน ที่บังเกิดมี ในการส่งต่อ ขอให้เป็นอภิมหาบุญ ขอให้ผู้ที่ส่ง มีความสุข มีความเจริญ รุ่งเรือง ร่ำรวย มีความสุขกายสบายใจ มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไม่จน ปรารถนาสิ่งใด สมความปรารถนาทุกๆประการ ขอให้ผลบุญนั้น เห็นผลทันตา ด้วยเทอญ (อธิษฐาน) สาธุ
แชร์แบ่งบุญนี้โดย..
ท่านคมสรณ์ สรณะวาที
พระธรรมทูตอินเดีย






















