ช่วงไล่พระป่า (แบบที่ 2 ขจัดพระธุดงค์ )
ตอนที่แล้วว่าด้วย ทุบวัด วันนี้ต่อด้วย "ขจัดพระธุดงค์"
ขอย้ำ การไล่พระป่า มี 3 แบบ
1. ทุบวัด (เป้าหมายทุบวัดที่อยู่ในเขตอุทยานกว่า 6,000 แห่ง)
2. ขจัดพระธุดงค์ (ออกจากป่า ให้ไปอยู่วัดในเมือง)
3. ส่งเข้ากรง (ให้ติดคุกด้วยวิธีการถวายยาบ้า ไปกับอาหาร/น้ำปานะ ให้พระฉัน)
“ ขจัดพระธุดงค์ " (อ่านให้ถึงตอนท้าย จะเล่าเรื่อง และวิธีการไล่พระธุดงค์ให้หมดจากป่า)
เหมือนเขาทำการบ้านมาอย่างดี ว่าการจะทำลายพระพุทธศาสนาให้สิ้นซากไปจากประเทศไทย ต้องระดมทำทุกอย่าง และเข้าใจดีว่าสิ่งที่ทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้นานทุกวันนี้ เกิดมาจากพระนักปฏิบัติ
พระนักปฏิบัตินั้น ยามเมื่อมีกำลังวังชา ท่านก็จะถือธุดงค์วัตร ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเกิดพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ชื่อดังมากมาย อาทิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั่น หลวงปู่แหวน หลวงตามหาบัว เป็นต้น
พ่อแม่ครูบาอาจารย์เหล่านี้ ท่านจะเดินธุดงค์ ในป่าลึกบ้าง มาอาศัยอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านต่างๆบ้าง
เมื่อท่านชราภาพมากขึ้น ท่านก็มักจะตั้งสำนักปฏิบัติธรรมตามพื้นที่ต่างๆ ก็จะเน้นอยู่บนเขาบ้าง ในป่าบ้าง ป่าทั่วไปบ้าง ซึ่งในอดีต ก็ไม่เคยมีการไล่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เหล่านี้มาก่อนเลย.
พ่อแม่ครูบาอาจารย์เหล่านี้ ได้สร้างพระนักปฏิบัติอย่างมากมาย สร้างคุณประโยชน์ทั้งต่อพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ จนเหลือจะคณานับ.
ผู้มุ่งร้าย เขาก็เห็นว่า พระป่า วัดป่า พระธุดงค์ คือ จุดแข็งของพระพุทธศาสนา !!
เขาจึงฉวยโอกาส !?.
ใช้กฎหมาย ใช้อำนาจที่อยู่ในมือบ้าง ใช้ผ่านบุคคลอื่นบ้าง ทำลายจุดแข็งของพระพุทธศาสนา ด้วยวิธีคือ องค์ไหนเดินธุดงค์ ก็ไล่ให้ออกจากป่า องค์ไหนตั้งสำนักปฏิบัติธรรมในป่า ก็อาศัยกฎหมายจัดการ ส่วนสำนักไหนไม่ผิดกฎหมาย ก็ส่งคนไปดำเนินการอย่างอื่น
เล่ามายาว เพื่อให้เห็นภาพว่า เขาทำไปทำไม ???
ผมขอเล่าประสบการณ์ตรง ที่ผมได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ของผมองค์หนึ่ง.
ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ที่ผ่านมา ผมและเพื่อน ขึ้นไปปฏิบัติธรรมกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งที่เทือกเขาภูพาน 8 วัน ท่านจับพวกผมแยกไปปฏิบัติธรรมอยู่ห่างกันมาก อยู่คนละถ้ำ ห่างกันมาก
ท่านสั่งให้ผมอยู่ถ้ำที่งูอาศัยอยู่มาก ท่านถามว่าผมกล้าอยู่ไหม ผมก็ตอบว่า ถ้าท่านรับรองความปลอดภัยผมก็กล้าครับ ท่านบอก ไม่มีอะไรหรอก ถ้าเจริญสติปัฏฐานดี ก็ปลอดภัย แต่ถ้าเจริญสติไม่ได้ ก็ไม่แน่ ผมจึงรับปาก และก็ไม่มีอะไรจริงๆ
อยู่ได้จนเกือบครบกำหนด วันหนึ่งพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่าน กล่าวว่า ..
"โยม เจอกันครั้งหน้า โยมอาจไม่เห็นอาตมา อยู่ในชุดนี้แล้วนะ" เราตกใจ ว่าทำไมท่านกล่าวเช่นนั้น!
ท่านได้เล่าประสบการณ์ให้ฟัง ว่า ในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ท่านผจญอะไรมาบ้าง ท่านเล่าว่า
" ทั้งอาตมา และเพื่อนสหธรรมิก ตอนนี้ล้วนโดนกันถ้วนหน้า เลยนะโยม คือมันเป็นอย่างนี้ "
“ วันหนึ่ง อาตมาเดินธุดงค์ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งตอนใกล้ค่ำ ก็ปักกลดในทำเลไม่ห่างจากบ้านคนเท่าไหร่นัก เพื่อสะดวกต่อการไปโปรดญาติโยม พอตอนเช้าอาตมาก็ไปบิณฑบาต ตามปกติวิสัย บิณฑบาตเสร็จก็กลับมาที่กลด ขณะทำภาระกิจไม่ทันเสร็จ ก็มีคนมาหาท่านที่กลด โดยอ้างว่าเป็นผู้ดูแลที่นี่ “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ท่านมาทำอะไรในป่านี้ “
ท่านตอบว่า “ อาตมา มาธุดงค์ “
ผู้อ้างว่าดูแล “ มาธุดงค์ หาอะไรในป่านี้ ทำไมไม่ไปอยู่ในเมือง หรือวัดร้างตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปอยู่ “
ท่านตอบว่า “ อาตมา ชอบปลีกวิเวก จึงมาธุดงค์ในป่า “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นพระจริงหรือพระปลอม มีหลักฐานไหม”
ท่านก็ส่งใบสุทธิให้ตรวจสอบ.
ผู้อ้างว่าดูแล “ ถึงเป็นพระจริง ก็ไว้ใจไม่ได้ ท่านอาจจะแอบมาผลิตยาบ้าที่นี่ หรือแอบมาหาตัดไม้หวงห้ามเช่นไม้พยูง “
ท่านตอบว่า “ อาตมา เป็นพระไม่ทำเช่นนั้นหรอก “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ยังเชื่อไม่ได้หรอก ว่าพูดจริงหรือไม่ “
ท่านตอบว่า “ จริงซิ “
ผู้อ้างว่าดูแล “ ถ้าเช่นนั้นท่านให้ค้นตัวไหมละ “
ท่านตอบว่า “ เอาซิ “
เขาก็ค้นตัวท่านทันที โดยไม่มีความคารวะใดๆ ก็ไม่เจอสิ่งผิดกฎหมายใดๆ แต่เขาก็ยังไม่ยอม !!
เขาบอกว่า “ ผมไม่รู้ว่า ท่านแอบซ่อนอะไรไว้ตรงไหนหรือไม่ และไม่รู้ว่าท่านแอบมาตัดไม้ไปแล้วหรือไม่ ถ้าบริสุทธิ์ใจ ก็ต้องไปดูบริเวณนี้ด้วยกันว่า แอบไปตัดต้นไม้อะไรหรือไม่ “
ท่านก็ยอมเสียเวลา เดินไปตามป่า (โชคดีที่ชาวบ้านไม่ได้แอบมาตัดป่าช่วงนี้ )
กว่าจะจบ ก็ปาไปตะวันอยู่กลางศรีษะ บ่งบอกว่าเที่ยงแล้ว ก็กินเวลาปฏิบัติธรรมไปพอสมควร แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไร ท่านก็ปฏิบัติกิจของพระธุดงค์ต่อไป.
ท่านนึกว่า คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น รุ่งเช้า หลังจากที่ท่านไปบิณฑบาต กลับมาที่กลด ชายคนเดิม ก็มาหาท่านอีก และแสดงความไม่เชื่อใจ ทำทุกอย่างเหมือนเดิม ยกเว้นไม่ดูเอกสาร คือขอค้นตัว
และพาไปเดินดูป่าบริเวณนั้น พร้อมทั้งย้ำเรื่อยๆ ว่าทำไมไม่ยอมไปอยู่วัด มาอยู่ป่าทำไมให้ลำบาก วัดร้างก็มีตั้งเยอะแยะ เป็นพระก็ควรอยู่แต่ในวัด ไม่ควรมาเผ่นพ่าน กว่าจะเสร็จ ก็ประมาณเที่ยงๆ เช่นเดิม
นึกว่าจะไม่มีอะไรอีกแล้ว แต่ก็ไม่มั่นใจว่า พรุ่งนี้คนนี้จะมาอีกไหม?
แน่นอน!! เขามาเหมือนเดิม ทำทุกอย่างเหมือนเดิม !!
สุดท้าย ท่านจึงถอนกลด เดินทางออกจากหมู่บ้านเดินธุดงค์ไปที่อื่น ที่ท่านคิดว่าจะไม่มีใครมารบกวน.
แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ขนาดท่านเดินไปไกลพอสมควร น่าจะผ่านไปหลายหมู่บ้าน และไปปักกลด.
พอเช้าท่านก็ทำกิจวัตร คือไปบิณฑบาต เหมือนแหตุการณ์ลอกเลียนแบบครั้งที่แล้วไม่ผิด ท่านเจอเหมือนเดิมทุกอย่าง รอบนี้ท่านจึงอยู่แค่สองวัน และเดินจากไป.
และก็โดนเหตุการณ์เช่นนี้เรื่อยๆ แม้ไม่ทุกครั้ง แต่ก็โดนเป็นระยะๆ
จะท่านไปพบพระธุดงค์องค์อื่น ก็ปรากฏว่า มีประสบการณ์คล้ายๆ กัน คือ "โดนไล่ทางอ้อม"
สุดท้ายท่านก็ธุดงค์หนีจนไปถึง ภูพาน ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นศรัทธาท่านมากเพราะท่านเคยมาพักที่นี่หลายครั้ง ซึ่งค่อนข้างจะลึกลับพอสมควร ซึ่งก็คือสถานที่ที่พวกเราไปอยู่ปฏิบัติธรรมกัน..
ท่านอยู่ที่นี่ มีความเป็นสัปปายะ ทุกด้าน ท่านจึงยึดเอาสถานที่แห่งนั้นเป็นที่ปฏิบัติธรรมภาวนา จนพวกเราไปปฏิบัติธรรมกับท่าน
และท่านได้เล่า วิธีการไล่พระป่า ด้วยวิธีการไล่พระธุดงค์ ไม่ให้อาศัยอยู่ในป่า อีกต่อไป และจากที่ท่านเล่ามา.
ผมก็เชื่อได้เลยว่า "นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ แต่ต้องเป็นกระบวนการทำลายพระพุทธศาสนาแล้ว"
ผมจึงได้เล่าเรื่องที่เขาไล่พระป่า ด้วยวิธีการทุบวัด ท่านจึงบอกว่า ที่โยมว่ามานี่จริง เพราะตรงนี้มีสำนักปฏิบัติธรรมอยู่ 5 แห่ง ตอนนี้ถูกทุบไปแล้ว 4 แห่ง เหลืออีกแห่งเดียว ที่คนศรัทธามาก จึงยังทุบไม่ได้ !!
นี่ศาสนาพุทธ จะสิ้นที่ประเทศไทยแล้วหรือ !! และท่านก็ฝากฝังพวกเราให้มาช่วยกันกอบกู้พระพุทธศาสนา ที่บรรพชนสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ให้คงอยู่ในประเทศไทยให้ได้.
สรุป เพราะอะไรเขาจึงต้องขจัดพระธุดงค์ ???
1.พระธุดงค์ คือจุดแข็งของพระพุทธศาสนา
2.พระธุดงค์ มักมีจริยาวัตรที่น่าเคารพบูชา น่าเลื่อมใส
3.พระธุดงค์ มักจะสอนธรรมะที่ลึกลับ ฟังแล้วอัศจรรย์
4.พระธุดงค์ มักมีประสบการณ์อันลี้ลับที่คนไทยมักสนใจ
5.พระธุดงค์ มักมีวาระจิตที่สูงเด่นกว่าผู้อื่น
6.พระธุดงค์ มักยึดหลักพระธรรมวินัย
วิธีการขับไล่พระธุดงค์
1.ขับไล่ด้วยวาจา
2.กดดัน เพื่อไม่ให้อยู่ในพื้นที่
3.ใส่ร้ายป้ายสี
4.หาทางจับผิด
5.ปลุกระดมชาวบ้านให้เข้าใจผิด
6.ประทุษร้ายทางร่างกาย
7.นำยาบ้าผสมใส่อาหารถวาย
We Are Buddhists
พวกเราคือชาวพุทธ
นายกรณ์ มีดี
เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย
นายกสมาคมทางสายกลาง
19 ก.ค. 59
ทางเว็บไซต์ต่างประเทศเผย!
โครงการสำรวจวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญจากเนเธอร์แลนด์ได้รับมอบพระพุทธรูปโบราณนับพันปี องค์หนึ่งของจีน
ซึ่งจัดแสดงในนิทรรศการมัมมี่ของพิพิธภัณฑ์ในเมืองรอตเตอร์ดัม เพื่อเอ็กซเรย์ภายในด้วยเครื่องซีทีสแกน จนพบว่า "ภายในพระพุทธรูปมีร่างมนุษย์อยู่นั้น"
สาเหตุ ที่ต้องเอกซเรย์พระพุทธรูปเก่าแก่องค์นี้ เพราะมีประวัติเล่าสืบต่อกันมาช้านานว่ามีร่างของพระชาวจีนอยู่ภายใน
คณะสำรวจประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญทางวัฒนธรรมและพุทธศิลป์แพทย์และผู้เชี่ยว ชาญด้านรังสีวิทยาจึงต้องการสำรวจครั้งนี้เพราะมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากนับป็นครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์ได้สำรวจมัมมี่จากจีนในโลกตะวันตก !
เมื่อนำพระพุทธรูปเข้าเครื่องซีทีสแกน เหล่านักสำรวจก็ต้องตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น.
เพราะภายในองค์พระพุทธรูปมีโครงกระดูกโครงหนึ่งที่ตั้งอยู่ในท่าขัดสมาธิ นั่งสงบอยู่เป็นเวลากว่าพันปีแล้ว
และเมื่อสำรวจภายในพวกเขาก็พบว่าอวัยวะภายในของมนุษย์คนนี้หายไป และถูกแทนที่กระดาษที่มีอักษรจีนโบราณจารึกอยู่เต็มไปหมด!
โดยนักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดีระบุว่าการนำอวัยวะภายในออกนี้ถือได้ว่าเป็นกระบวนการสำคัญ ของการทำมัมมี่นักสำรวจจะได้ตรวจสอบหาดีเอ็นเอจากซากมัมมี่นี้และนำไปเผยแพร่ต่อไป
จากประวัติพระพุทธรูปองค์นี้เชื่อกันว่าร่างที่อยู่ภายใน คือ ร่างของพระภิกษุชาวจีนนาม “หลิวฉวน” ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของสำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งของจีนในศตวรรษที่ 11-12 หรือเกือบ1 พันปีก่อน
ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในกรุงบูดาเปสต์ประเทศฮังการี ซึ่งจะจัดแสดงไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้
มันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก ซึ่งสมัยโบราณมีเรื่องลี่ลับอีกมากมายที่ยังเป็นความลับอยู่.
ขุนแผนล้านนา สื่ออาสา
วัดกำลังถูกทอดทิ้ง !??
ไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ อีกทั้งปัญหาผู้มีอำนาจในท้องถิ่น ก็เป็นศาสนิกอื่น !!!
วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่กำลังประสบกับปัญหานี้เช่นกัน.
วัดพุทธในภาคใต้ตอนบน จรดตอนล่าง กำลังสุ่มเสี่ยงถูกยึดไปเป็นสมบัติของศาสนาอื่น !
เนื่องจากเวลานี้ ไม่มีรัฐบาล ที่พร้อมรับฟังคำเรียกร้องของประชาชน และชาวพุทธ ไม่ว่าปัญหาอะไรจะเกิดขึ้น ประชาชนต้องพึ่งตนเอง และดูแลตัวเอง
หรืออีกกรณีหนึ่ง ประชาชนต้องตื่นจากหลับไหล และทำให้ประเทศไทย มีรัฐบาลที่พร้อมทำงานเพื่อประชาชน !!!
>>> ประชาชนอาจจะเริ่มจากการขับไล่ทหารออกไป !?
คนกลุ่มเล็กๆเหล่านี้ ใช้อำนาจสั่งการ ให้น้องๆ ทหารลูกหลานชาวพุทธที่อยู่ใต้บังคับบัญชา ไปทำงานรับใช้หัวหน้างานที่เป็นศาสนาอื่น ที่ไม่เคยหวังดีต่อชาวพุทธเลย !!
แต่อ้างว่า การยึดอำนาจจากประชาชน คือการคืนความสุขให้ประชาชน หรือ ทำเพื่อประชาชน!!?
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว พฤติกรรมหลายอย่าง มันฟ้องว่า ล้วนแต่เป็นการปกป้องผลประโยชน์ให้พวกพ้องได้ครองอำนาจต่อไป อีกยาวนาน แค่นั้นเอง!!
คนที่ทำเพื่อประชาชน เค้าไม่ปล่อยให้ประชาชนถูกรังแก !!!
Thai monks
https://goo.gl/pwvRJB
การหล่อเทียนพรรษา !!!
เทียนพรรษา เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล.
ชาวพุทธจะยึดถือเป็นประเพณีโดยนำเทียนไป ถวายพระภิกษุในเทศกาลเข้าพรรษา เพื่อปรารถนาให้ตนเองเป็นผู้เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ ประดุจ แสงสว่างของดวงเทียน.
เทียนพรรษา คือ เทียนขนาดใหญ่และยาวเป็นพิเศษกว่าเทียนชนิดอื่น สำหรับจุดในโบสถ์ตั้งแต่วันเข้าพรรษาจนถึงวันออกพรรษา (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕)
การทำเทียนพรรษา มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ จากการนำรังผึ้งมาต้มเอาขี้ผึ้งไปฟั่น
เป็นเทียนนำไปถวายพระภิกษุ เอาเทียนเล่มเล็ก ๆ หลาย ๆ เล่ม มามัดรวมกันเป็นลำต้นคล้ายกับ ต้นกล้วย
หรือลำไม้ไผ่ แล้วนำไปติดกับฐาน ซึ่งการมัดรวมกันแบบนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่นิยมเรียกว่า ต้นเทียน หรือต้นเทียนพรรษา
อานิสงส์ของการถวายเทียนพรรษา..
การถวายเทียนพรรษานี้เป็นโบราณประเพณีที่ทำสืบ ๆ มาเป็นเวลาช้านานเมื่อถึงฤดูเข้าพรรษา
ภิกษุทั้งปวงต้องจำพรรษาในอาวาสของตน 3 เดือน พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จึงได้จัดทำให้เป็นกุศลพิธีขึ้นเมื่อได้นำเทียนไปถวายพระสงฆ์แล้ว ท่านก็จะได้จุดบูชาต่อหน้าพระประธานในพระอุโบสถ
ผู้ถวายย่อมได้รับอานิสงค์ คือ ..
1. ทำให้เกิดปัญญา ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เปรียบเหมือนแสงสว่างแห่งเทียน
2. ทำให้สว่างไสวรุ่งเรือง ผู้ถวายย่อมทำให้มีความรุ่งเรืองด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ
3. ทำให้คลี่คลายเรื่องราวต่างๆ ที่มีปัญหาให้ร้ายกลายเป็นดี
4. เจริญไปด้วยมิตรบริวาร
5. ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย
6. เมื่อจากโลกนี้ไปย่อมมีกายทิพย์อันสว่างไสว
7. เมื่อลาลับโลกนี้ไปย่อมไปสู่สุคติสวรรค์
8. หากบารมีมากพอ ย่อมทำให้เกิดดวงตาจักษุ คือปัญญารู้แจ้งเข้าสู่พระนิพพาน
วันอาสาฬหบูชา.
วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมเทศนา หรือหลักธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นครั้งแรก ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ "วันอาสาฬหบูชา"
ซึ่งในปี 2559 วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันอังคารที่ 19 กรกฎาคม (ขึ้น 15 คํ่า เดือน 8 ) https://www.youtube.com/watch?v=uITpMH_gWes
ชาวอเมริกา-ยุโรปนิยมทำบุญใส่บาตรพระมากขึ้น !!!
กิจวัตรของผู้ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา !
โดยเฉพาะสายเถรวาท ประการหนึ่งคือการบิณบาตตามนิสัย 4 ประการ ที่พระพุทธเจ้า ได้บัญญัติไว้ !.
ดังนั้นพระธรรรมทูตที่เดินทางไปเผยแพระพระพุทธศาสนา ณ ดินแดนต่างๆ หากไม่ผิดกฏหมายของประเทศนั้นก็จะปฏิบัติกิจวัตรนี้เป็นประจำ
และปัจจุบันนี้มีชาวพุทธไทยและประชาชนประเทศต่างๆนิยมใส่บาตรพระมากขึ้น.
อย่างเช่นเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ชุมนุมพุทธธรรมกรรมฐาน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้โพสต์รูปภาพพระจากวัดป่าอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา บิณฑบาตท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บ
พร้อมกับข้อความว่า "กิ่งก้านแห่งโพธิญาณ เบ่งบานทางทิศตะวันตก"
พร้อมกันนี้เฟซบุ๊กวัดพุทธาราม เมืองลีดส์ประเทศอังกฤษ ได้โพสต์ข้อความเมื่อวันพระที่ผ่านมาว่า "วันนี้ วันพระขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 คณะสงฆ์วัดพุทธาราม ลีดส์ สหราชอาณาจักร ได้เดินรับบิณฑบาตร
เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่อาศัยอยู่ในเมืองลีดส์ได้ทำหน้าที่อุบาสกอุบาสิกาทำบุญตักบาตร จะเป็นเฉกเช่นนี้ทุกๆวันอันเป็นประเพณีและวิถีชาวพุทธ
ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ทำหน้าที่ ในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา..."
ขณะเดียวกันพระธรรมทูตไทยสายอินเดีย-เนปาลก็ฟื้นกิจวัตรนี้เช่นเดียวกัน
ภาพดังกล่าวเริ่มปรากฏชัดขึ้นในสายตาของชาวตะวันตก
ชาวอเมริกา-ยุโรปนิยมทำบุญใส่บาตรพระมากขึ้น !
ขออนุโมทนาโยมทุกท่านที่ช่วยเดินตามรับบาตรพระ...
มีโยมพี่แม้ว พี่นนท์ น้องภู น้องนุช และน้องเต้ย ..
พร้อมกับคณะสาธุชนที่ร่วมตักบาตรและร่วมถวายเพลมีป้าพิชญา เคนเนดี้ ป้าขนิษฐา คุณเสาวนีย์, คุณกิ่งกาญจน์, คุณอัชฉรา, คุณปภาณิน, คุณนันทนา, คุณนุชจรี, คุณประนอม, คุณญาดา, คุณศิรภัสสร,คุณอำพร,คุณจันทรัตน์
ชาวอเมริกา-ยุโรปนิยมทำบุญใส่บาตรพระมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.komchadluek.net/news/amulets/230669
“เป็นชาวพุทธแค่ไหน?”
ฝรั่งมาถามอาตมาว่า... คนไทยเป็นพุทธ 95% แต่ทำไมสังคมไทยจึงเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวและการเอารัดเอาเปรียบ !?
เราตอบเขาได้เลยว่า “วันหนึ่งๆ คนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธไม่กี่นาทีหรอก”
.
ให้พวกเราพิจารณาโทษของการไม่มีสติ และคุณของการมีสติให้เห็นชัด !
สติเป็นเครื่องกำหนด #พระพุทธศาสนา
สติอยู่ พระศาสนาอยู่ ..
สติไม่อยู่ พระศาสนาก็ไม่อยู่
.
มองในแง่นี้อาจพูดได้ว่า ขณะที่เราครองสติ เราเป็นชาวพุทธ !
ขณะใดที่สติหลุดไป เรากลายเป็นเดียรถีย์คนนอกศาสนา ..
.
หนทางปฏิบัติจึงอยู่ที่ความเพียรในชีวิตประจำวัน เราควรเป็นชาวพุทธให้มากที่สุด เป็นคนนอกศาสนาให้น้อยที่สุด เรามีทางเลือกอยู่ตลอดเวลาระหว่างการ “คิดพุทธ” และ “คิดผิด”
.
พระอาจารย์ฌอน ชยสาโร
#วัดป่านานาชาติ อ.วารินชำราบ #อุบลราชธานี
ขอขอบคุณ ภาพจาก : http://board.palungjit.org
สังคม และสถานการณ์ปัจจุบันนี้ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนต่างสับสน !
จนเกิดผลกระทบต่างๆ ตามมา หนึ่งในนั้น คือ โรคที่เกิดขึ้น "ทางจิตใจ"
“บิล คลินตัน” ได้หันมาใช้วิถีพุทธเพื่อดูแลสุขภาพ!
คลินตันได้หันเข้าหาการเจริญสติในพระพุทธศาสนา เพื่อการผ่อนคลาย และยกระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้น
โดยการเรียนรู้วิธีการทำสมาธิในพุทธศาสนา ถึงขนาดนิมนต์พระสงฆ์ในพุทธศาสนามาช่วยสอนวิธีการทำสมาธิที่ถูกต้อง
“นับตั้งแต่มีปัญหาโรคหัวใจ บิลได้มองหาวิธีที่จะช่วยให้ตัวเองผ่อนคลาย เนื่องจากเขาใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ เดินทางบ่อยเพื่อปฏิบัติภารกิจในฐานะตัวแทนของสหรัฐฯ
เขาจึงต้องการบางสิ่งบางอย่างที่จะช่วยให้ตัวเองมีสติอยู่ตลอดเวลา...
การทำสมาธิจึงช่วยเขาได้ เขาชอบสวดมนต์ และมีบทสวดมนต์ที่ชอบ ซึ่งหลังจากสวดเสร็จ
เขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เต็มไปด้วยพลังด้านบวก การทำเช่นนี้ ทำให้เขาดีขึ้นทุกอย่างกระฉับกระเฉง และแข็งแรงกว่าเดิม” แหล่งข่าวบอกกับเดลิเมล์
http://m.pantip.com/topic/30890554
ยุคเสื่อม!!! โดนกันเรื่อยๆครับ..
วันนี้เวลาประมาณ10:00น. เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทหารและตำรวจ จำนวนกว่าร้อยนายเข้าตรวจยึดวัดถ้ำเนรมิต ม.6 ต.แม่กระบุง. อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี
โดยมีเจ้าอาวาสพระครูวิสุทธิ์กาญจนกิจ (สมบูรณ์ สุวณฺโณ) อยู่ที่วัด
.
ประวัติความเป็นมา
.
วัดถ้ำเนรมิต เป็นวัดเก่าตกสำรวจ ได้รับการขึ้นทะเบียนวัดจากรมการศาสนาเมื่อปี พ.ศ.2535
บรรยากาศภายในวัดร่มรื่น มีถ้ำสวยงามมากสองแห่ง อยู่ในบริเวณวัด คือ ถ้ำน้ำทิพย์ และถ้ำเนรมิต
เหนือวัดขึ้นไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร มีอีกสองถ้ำ คือ ถ้ำพระ และถ้ำเม่น มีความสวยงามพอๆกัน
วัดถ้ำเนรมิต มีเนื้อที่ประมาณ 80 ไร่ บรรยากาศเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม.
ตั้งอยู่ระหว่างน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นกับน้ำตกเอราวัณ.
ซึ่งน้ำห้วยแม่ขมิ้นได้รับการยกย่องว่า มีความสวยงามเป็นอันดับหนึ่งของภาคกลาง.