วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2559

นี่หรือเมืองไทย เมืองพุทธ ??? ที่เราคุ้นเคย กับความหวังอันริบหรี่ !!!

แสงแห่งความเป็นเมืองพุทธ ! ริบหรี่ลงทุกที !!!

  ภาพแห่งความเป็นวัดป่า กำลังถูกทำลาย พุทธสถาน ซึ่งเคยถือว่า เป็นสมบัติของแผ่นดิน กำลังถูกรุกราน ด้วยความไม่ต้องการ ของคนบางกลุ่มบางพวก !



  ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป รัฐจะใช้กฏหมายป่าไม้-ที่ดิน จัดการรื้อวัดป่า ใช้กฏหมายกรมศิลป์ทำลายวัดเก่าแก่ในเมือง และพร้อมที่จะออกกฏหมายอีกสารพัด ที่จะทำลายชาวพุทธให้ไวที่สุด ให้ใด้ผลที่สุด อย่างที่ชาวบ้านตาดำๆ เถียงไม่เป็น ได้แต่ทำตาปริบๆ


#โดนไปอีกวัด ต่อไปถึงคิววัดไหนครับท่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ป่าไม้ บุกตรวจวัดนี้ 

  พร้อมตั้งข้อหาบุกรุกสร้างพระยื่นกินหน้าผา เลยออกไป 30 กว่าเมตร เอาเลยครับล้างบางทุกวัดเลย ถึงเวลาที่พวกคุณเป็นใหญ่แล้วนี่




  มุมสูงวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หมู่บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ https://www.youtube.com/watch?v=7bjEic4K-Eo

 21 เมษายน 2559 
สั่งวัดปัญจคีรีรัตนาราม อ.เมือง จ.กาญจนบุรี หยุดทำกิจกรรม ตั้งสำนักสงฆ์ไม่ถูกต้อง 



 6 กุมภาพันธ์ 2559 
อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ทหาร และ กรมอุทยานฯ สั่งรื้อที่พักสงฆ์สร้างรุกป่าสงวนฯป่าเขากระยางอ.นครไทย โดยใช้คำสั่ง คสช 64 และ 66



 4 เมษายน 2558
กรมป่าไม้ เตรียมไล่รื้อ สำนักสงฆ์ 4 พันแห่งพ้นป่า


นายบุญชอบ สุทธมนัสวงศ์

นายบุญชอบ สุทธมนัสวงศ์ อธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) 

ที่มา: http://www.thairath.co.th/content/336910

วันที่ 22 ส.ค. 58 
   เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้ามาวัด และขนไม้พะยูง ตัดไม้พะยูงที่ล้มอยู่ภายในวัดขึ้นรถ และแจ้งตำรวจ สภ.อุบลรัตน์ ให้มาจับ โดยแจ้งข้อหาว่ามีไม้หวงห้ามไว้ในครอบครอง



  พระวัดถ้ำพระคำเม็ก ร้องขอความเป็นธรรม ถูกจับเพียงเพราะตัดไม้ที่ล้มขวางทางเข้าวัด

30 กรกฏาคม 2557
ทหารบุก รื้อกุฏิพระ 3 หลัง ป่าดงระแนง อ.ห้วยเล็ก จ.กาฬสินธุ์ 




 28 สิงหาคม 2552 
กรมป่าไม้เตรียมดันสำนักสงฆ์รุกป่าออกพื้นที่ 68 แห่งนำร่อง

1 ใน 68 แห่งที่ว่านี้คือ วัดป่าภูไม้ฮาว 






ข้อมูลในข่าวที่ผิดเพี้ยนจากความจริง
1. ทางเดินขึ้นวัดยาว 3 กิโลเมตร ไม่เป็นความจริง 3 กิโลเมตรคือ แนวกันไฟรอบวัด ความจริงทางเดินขึ้นวัดมีระยะทางเพียง 500 เมตร เท่านั้น สร้างอย่างง่ายๆเพื่อ ป้องกันไม่ให้ชาวบ้านชราลื่นหกล้มได้ง่าย


2. ข่าวแจ้งว่ามีการสร้างที่พักราวๆ 50 หลัง ริมหน้าผาไม่เป็นความจริง ความจริงคือ มีห้องเล็กๆ เขตแม่ชี มี 5 หลัง สำหรับโยม 5 หลัง และพระอีกเล็กน้อย


  ที่ world peace valley เขาใหญ่ 
ถูกกล่าวหาเรื่อง ทับที่ของ สปก. 




   แต่ก่อนนี้ ศาสนจักร และอาณาจักรอยู่กันมาอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย บ้านเมือง อนุญาตให้พระอยู่ป่ารักษาพงไพร ก่อกำเนิดวัดป่าพุทธสถาน ด้วยอนุโลมกันไปในฐานะเมืองพุทธ พระพุทธเจ้าสรรเสริญภิกษุอยู่ป่าอิงอาศัยธรรมชาติ ว่าเป็นคุณต่อการเจริญสมณะธรรม



   ปัจจุบันเมื่อมีคนคิดต่างจ้องทำลายชาวพุทธวิถีไทย ทัศนะคติที่ที่เปลี่ยนไป อาจทำให้คนไทยรุ่นใหม่เปลี่ยนตาม กลายเป็นกระแสรับขานกันไป โดยไม่คำนึงถึงรากฐานวัฒนะธรรมเดิม เหมือนช่วยกันรื้อบ้านของตนเองแล้วจุดไฟเผา



  พระพุทธศาสนาที่ไม่มีกฏหมายคุ้มครอง โดยอ้างว่า ประจำชาติอยู่แล้วโดยพฤตินัย ไม่ต้องเขียนไว้เพราะอาจเป็นอันตราย !


 แต่ต่อไปอีกไม่นาน เราเองก็ไม่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับพระพุทธศาสนาในเมืองไทย !


 และเมื่อถึงตอนนั้น เราชาวพุทธในเมืองไทยจะเป็นอย่างไร ?? แน่ใจหรือว่า จะไม่กลายเป็นชนกลุ่มน้อยของประเทศ ดังเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว กับอดีตเมืองพุทธ ในหลายๆประเทศที่ผ่านมา..

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ธรรมรักษ์ ปธ.๙, MindfulNews

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ชะตากรรมพระดังในเมืองไทย !

พระนิกรถูกปืนจี้ 
เมื่อเดือนมิถุนายนปีพ.ศ.2533

ชื่อพระอาจารย์นิกร ธรรมวาที แห่งวัดสันปง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่

ปรากฏหราบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเมืองไทย !!!



   กับภาพบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ที่ใครได้เห็นต่างอ้าปากค้าง ทั้งตกตะลึงและคาใจไปตามๆ กัน เพราะเป็นภาพที่ไม่มีใครคิดมาก่อน ขณะเดียวกันก็คาใจกับภาพที่เห็น

   พระนิกร ธรรมวาที กับอรปวีณา บุตรขุนทอง กับภาพเจ้าบ่าวเจ้าสาวในชุดนอน มีเจ้าบ่าวเจ้าสาวคู่ไหนในโลกสวมใส่ชุดนอนเป็นชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวบ้าง?

  รุ่งขึ้นความจริงทั้งหมด "ก็ไหลพรั่งพรูออกมาจากปากของท่าน"

  ท่านได้รับกิจนิมนต์มาที่กรุงเทพ แต่รถมิได้แล่นไปตามเป้าหมาย แต่กลับแล่นไปที่บ้านหลังหนึ่ง แล้วถูกปืนจี้บังคับ ให้ถอดจีวรออกสวมใส่ชุดนอน ทำพิธีแต่งงานผูกข้อไม้ข้อมือจุดประสงค์เพื่อ "ถ่ายภาพ" เท่านั้น

จากพระนักเทศน์ชื่อดังก้องฟ้าไทย.... 

   "ศีล 5 ของชาวบ้านห่างไกลวัด คือวัดไม่เข้า เหล้าไม่ขาด บาตรไม่ใส่ ไก่ไม่ละ เอาหัวพระ เป็นปฏิทิน"..... ถูกพิพากษาปาราชิก ให้สละเพศ เป็นนายนิกร ยศคำจู

แต่ที่แปลกอย่างยิ่งคือ...................... 
ศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดทั้งพระและฆราวาส ก็ยังมีความเคารพศรัทธาท่านเหมือนเดิม เพราะพวกเขายังเชื่อมั่น "ในความบริสุทธิ์พระนิกร ธรรมวาที"

คล้อยหลังไม่กี่ปี พระที่มีชื่อเสียงในการนำพามวลชน ให้เข้าถึงหลักธรรมทางศาสนา โดยเส้นทางแห่งศีล สมาธิ ปัญญา พระยันตระ พระภาวนาพุทโธ ก็มีชะตาชีวิตที่ไม่ต่างกัน

พระนิกร ธรรมวาที ในชุดอุบาสกปฏิบัติธรรมสีขาว 


  พระภาวนาพุทโธ ในชุดนักโทษสีน้ำตาล ได้จากโลกนี้ไปแล้วด้วยความสงบ โดยหาความผิดมิได้ !!

พระยันตระก็ต้องลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ !




   ชะตากรรมพระดังในเมืองไทย !

   คนข้างนอกมองอีกอย่างหนึ่ง !!

   แต่ศิษย์ใกล้ชิดจะเห็นอีกอย่างหนึ่ง และศรัทธามั่นคงต่อครูบาอาจารย์ ไม่ลดลงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ท่านไม่ได้อยู่ในสมณเพศแล้ว !

   คนข้างนอกอาจจะไม่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับหลวงพ่อธัมมชโย
แต่บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิด ครูบาอาจารย์ที่ได้กล่าวถึงมาแล้วนั้น ทุกคนต่างเข้าใจดีว่าเป็นเพราะอะไร



  จึงได้แต่ช่วยสวดมนต์ภาวนาอธิษฐานจิต ขอให้หลวงพ่อธัมมชโยจงปลอดภัย !

  หรือไม่ก็ได้มรณภาพอย่างสงบ ในชุดนักบวช ในวัดพระธรรมกาย ที่ท่านสร้างมาเองกับมือด้วยเถิด !

อย่าได้มีชะตากรรมเหมือน.... 
ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าทั้งหลายเลย !

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

"พระยันตระ อมโร" ใส่ร้ายพระแล้วได้อะไร ???

เมื่อปีพ.ศ.2536
มีข่าวครึกโครมพระยันตระ อมโร พระหนุ่มรูปงามแห่งเกริงกระเวีย 
มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสีกาสาว นางจันทิมา มายะรังสี


สื่อต่างๆทั้งโทรทัศน์และสิ่งพิมพ์แย่งกันนำเสนอข่าวหลากรูปแบบเพื่อกระตุ้นยอดขายโดยไม่สนใจข้อมูลเท็จจริงแต่อย่างใด
พฤติกรรมสามานย์สารพัดถูกนำมาใช้ ใส่ร้ายป้ายสีเพื่อให้ดูชั่ว

ถึงขนาดส่งคนไปเผากุฏิไม้ที่ท่านอาศัยปฏิบัติธรรมบนยอดเขา
เพื่อสร้างข่าวเอามาขายแม้พระพุทธรูปทองเหลือง
ยังต้องหลอมละลายเพราะความร้อน

รุ่งเช้าก็มีข่าวพาดหัวตัวไม้ใหญ่ยักษ์
        "ฟ้าพิโรธ ลงโทษยันตระ" สื่อแบกะดินที่แทบไม่ใครรู้จัก
และอยู่ในภาวะใกล้ล้มละลายด้วยรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นมาทันทีเพราะจับทางคนได้ว่านิยมเสพข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี

แต่สื่อยักษ์ใหญ่อย่างไทยรัฐ สมเป็นสื่ออันดับหนึ่งของเมืองไทย
คือยึดหลักขายความจริงมากกว่ามุ่งยอดขายข่าวเท็จที่หวือหวา
ได้ส่งนักข่าวเกรดเอเงินเดือนสูงไปบวชเป็นพระเพื่อสืบค้นความจริง

ก่อนพระนักข่าวรูปนั้นจะลาสิกขาได้กล่าวสารภาพความจริงต่อหน้าพระสงฆ์และญาติธรรมว่า

  "ผมเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐถูกส่งมาบวชเพื่อมาเจาะหาความจริง ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ได้ร่วม ปฏิบัติธรรมกับหมู่คณะผมประจักษ์ชัดทั้งด้วยตัวเองและข้อมูลขอสารภาพเปิดใจ ณ ที่ตรงนี้ต่อหน้าทุกท่านว่า.....

."ผมเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ ของพระอาจารย์ยันตระ อมโรครับ"

หลังจากเหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนัก !

นางจันทิมา มายะรังสีก็ได้เสียชีวิตลง ด้วยโรคมะเร็ง แต่อนิจจจาสื่อไทย ที่จรรยาบรรณตายไปแล้ว ไม่มีสื่อใดลงข่าวคำสารภาพของ นางจันทิมา มายะรังสี ก่อนเสียชีวิตเลย นอกจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ และลงเพียงกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น

   "ก่อนตายดิฉันขอสารภาพความจริงเพื่อไถ่บาปว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์ยันตระไม่มีมูลความจริงแต่เพราะความโกรธแค้นที่ถูกลูกศิษย์ ขัดขวางไม่ให้เข้าใกล้พระอาจารย์ กอปรกับดิฉันอยู่ในภาวะร้อนเงินด้วย เมื่อมีคนว่าจ้างรับปากจะช่วยเหลือ และสัญญาจะส่งเสียลูกสาวเล่าเรียน ดิฉันจึงต้องทำงานนี้ให้กับเขา"

  หลังจากที่ผู้พิพากษาได้ตัดสินใจให้สถานภาพพระยันตะลี้ภัยทางการเมืองในประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว

  ปีเตอร์ เชย์ ทนายความสิทธิมนุษยชนอเมริกันของพระอาจารย์ยันตระได้กล่าวหลังจากที่ศาลได้ ประกาศคำพิพากษา แล้วว่า 

  “พระอาจารย์ยันตระ ได้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในศาลสถิตย์ยุติธรรมของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นไปด้วย ความยุติธรรม และไม่เข้าข้างใคร 

   เจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยที่พยายามจะทำลายพระอาจารย์ยันตระ ควรจะได้รับการพิจารณาโทษต่อหน้าศาลไทย ถึงความผิดที่พวกเขาได้กระทำ การกระทำของพวกเขานำความอัปยศอดสูมาสู่ประเทศไทย  

  พวกเขาทำให้ ภาพพจน์ของประเทศไทยเสียหายในสายตาของชาวอเมริกันและประชาชนทั่วโลกที่ทราบการกระทำที่ชั่วร้ายของพวกเขาเหล่านั้น 

  พระอาจารย์ยันตระ เป็นบุคคลแห่งสันติ และเมตตา ท่านควรจะได้รับการสรรเสริญที่กล้ากล่าวถึงความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างตรงไปตรงมา มิใช่การถูกกำจัด กลั่นแกล้ง ดังเช่นที่เป็นมา 

  ปัจจุบันพระอาจารย์ยันตระ ได้มีอิสระภาพอีกครั้งหนึ่ง ในการเผยแพร่พุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านรักที่จะทำและท่านก็ทำได้อย่างดียิ่ง 

  อย่างไรก็ตามสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของท่านก็ยังถูกละเมิดอยู่เสมอตราบเท่าที่ท่านยังไม่สามารถกลับประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะต้องถูกจับเข้าคุกในข้อหาที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาว่า 

  พระอาจารย์ยันตระ “ดูหมิ่นเจ้าหน้าที่รัฐบาลไม่ทราบนาม” หรือ “ดูหมิ่นสมเด็จพระสังฆราช” ผู้ซึ่งไม่เคยตรัสเองเลยว่าพระองค์ทรงถูกดูหมิ่นจากคำแถลงต่อหน้าสาธารณชนของพระอาจารย์ยันตระ 

  นับแต่นี้ไปควรจะเป็นเวลาของการปรองดองกัน มิใช่ทำการกลั่นแกล้ง กำจัดพระอาจารย์ยันตระต่อไปอีก การกระทำดังกล่าวละเมิดทั้งกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล และสิทธิขั้นพื้นฐานในการแสดงออกของพระอาจารย์ยันตระ"


วัดพระธรรมกายก็เช่นเดียวกัน ทั้งในอดีตที่ผ่านมาและในอนาคต จะถูกสร้างข่าวร้ายจากสื่อที่ขายข่าว และพวกที่ต้องการทำลายศาสนา
จนกว่าจะไม่มีวัดพระธรรมกาย อยู่บนผืนแผ่นดินไทยอีกต่อไป......

Cr: มิลา บายันต์

"""""""""""""""""""""""

**สมัยนั้นตัวผมเองก็เป็นพระสายวัดป่ารูปหนึ่งที่ได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ไปปฏิบัติธรรมจำศีลอยู่ที่เกริงกระเวีย เช่นกันครับ**

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

บนวิถีแห่ง โพธิสัตว์ "พระพุทธศาสนา" เปลี่ยนชีวิต!!!

อ่านแล้วจะทึ่งในความเป็นพุทธะของเขา
จากผู้ชายที่ชื่อ "ริชาร์ด เกียร์"
บนวิถีแห่ง โพธิสัตว์


เกียร์ทำสมาธิเป็นประจำทุกวัน “เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมเกิดแรงจูงใจในแต่ละวัน” เขาบอกว่า การทำสมาธิของเขา คือ “#การทลายกำแพงของอัตตาลง

เกือบ 30 ปีแล้วที่ดาราดังของฮอลลีวูด
 “ริชาร์ด เกียร์” #เข้ามาสู่ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ซึ่งพระเอกหนุ่มย้ำว่าเป็นหลักการที่เชื่อถือได้อย่างแน่นอน เพราะเขาได้พิสูจน์ด้วยการศึกษาและปฏิบัติอย่างจริงจังตลอดเวลาที่ผ่านมา
“ศาสนาพุทธ #เป็นแนวทางที่ผมค้นพบว่าเชื่อถือได้อย่างเต็มที่ เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งโบราณ"

เขาได้พบวิธีสร้างสมดุลระหว่าง “ชีวิตที่เป็นเปลือกนอก” คืองานการแสดง และ “ชีวิตที่เป็นแก่นใน” นั่นคือ #การพัฒนาจิตวิญญาณและความต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

เกียร์ยังเสริมด้วยว่า “ในมุมมองทางศาสนาพุทธ ความเขลาที่สุดก็คือ ความเชื่อว่าโลกเป็นดังที่เราเห็นอยู่ จากจุดนี้จึงเกิดความคิดในเรื่อง “ตัวฉัน และของฉัน” ซึ่งเป็นที่มาของสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย ตามหลักศาสนาพุทธ ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่จริง และมีความสัมพันธ์กัน มนุษย์ทุกคนต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ผมขอภาวนาให้สรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องร่วมโลกในทิเบต รักษาศีลธรรมความดีงาม เพื่อจะได้ประสบความสุขโดยเร็วในปัจจุบันและอนาคต”

• #สู่การเป็นพุทธศาสนิกชน


ริชาร์ด เกียร์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้มารู้จักพุทธศาสนา และกลายมาเป็นพุทธศาสนิกชน ว่า
“มีอยู่ 2 ครั้ง ครั้งแรก เมื่อได้อ่านธรรมะ และครั้งที่ 2 เมื่อได้เจอพระอาจารย์ แต่ก่อนหน้านั้น ผมเคยศึกษาปรัชญาในมหาวิทยาลัยมาก่อน ผมรู้จักธรรมะของศาสนา พุทธเป็นครั้งแรกตอนอายุ 20 กว่าๆ ตอนนั้นผมก็เหมือน กับคนหนุ่มทั่วไป ที่ไม่ค่อยมีความสุขในชีวิต ผมไม่รู้ว่ามันเป็นความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายหรือเปล่า แต่มันขาดความสุขจริงๆ และมักมีคำถามทำนองว่า “ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นด้วย” เกิดขึ้นเสมอ บางครั้งดึกแล้วผมยังออกไปตามร้านหนังสือ อ่านเกือบทุกประเภท และหนังสือที่มีอิทธิพลต่อผมมากที่สุดคือ หนังสือพุทธศาสนาแบบ ทิเบต ของอีแวนส์-เวนทซ์ (Evans-Wentz)

ในหนังสือพูดถึงเรื่องความว่างเปล่า ครั้งแรกผมศึกษา เรื่องเซน ผมจำได้ว่าเดินทางไปแอลเอ เพื่อเข้าโปรแกรมทำสมาธิแบบเซน เป็นเวลา 3 วัน ผมเตรียมตัวก่อนไปเป็นเดือน ฝึกยืดขา เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาในการทำสมาธิ ครูคนแรกของผมคือ ซาซากิ โรชิ ซึ่งทั้งดุและใจดีในเวลาเดียวกัน ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มหัดใหม่ ไม่รู้อะไรเลย ผมรู้สึกไม่แน่ใจ แต่ในส่วนลึก ก็ต้องการเรียนรู้จริงๆ ครั้งนั้นผมรู้สึกมีประสบการณ์ที่ดีและถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับผม ในการเดินเข้าสู่เส้นทางพุทธศาสนา”

• #ฝึกฝนปฏิบัติธรรม เพื่อสร้างโพธิจิต


พระเอกหนุ่มมักหาโอกาสปลีกวิเวกและศึกษาธรรมที่ทิเบตเป็นระยะๆ เขามีความสุขกับการใช้ชีวิตที่นั่น ซึ่งแตกต่างจากชีวิตในฮอลลีวูดโดยสิ้นเชิง เขาเล่าว่ามีเพียงห้องนอนเรียบง่าย และใช้ห้องน้ำรวม น้ำใช้มีจำกัด ไม่มีโทรทัศน์ หรือเครื่องปรับอากาศ หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์ เกียร์บอกว่าเหล่านี้ไม่ใช่เป็นการทรมานตัวเอง แต่เป็นเวลาที่เขาจะได้ผ่อนคลาย ได้ทำสมาธิ ได้ปลดปล่อย

“พระอาจารย์ของผมส่วนมากมาจากโรงเรียนเกลุกปะ ของพุทธทิเบต ซึ่งท่านได้สอนในเรื่องความรู้สึกนึกคิด สติปัญญา และการค้นหาความจริง โดยใช้ภาษาง่ายๆ ใช้หลักเหตุและผล และเทคนิคต่างๆในการทำสมาธิ มันจะค่อยๆทำให้ใจของเราเริ่มคุ้นเคยกับการมองสิ่งต่างๆในอีกรูปแบบหนึ่ง

ผมรู้สึกอยู่เสมอว่า "#การปฏิบัติธรรมคือการใช้ชีวิตจริง ผมจำได้ว่า เมื่อผมเริ่มทำสมาธิตอนอายุ 24 ปี เพื่อแสวงหาคำตอบให้ชีวิต ครั้งหนึ่งผมซุกตัวอยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็กๆเป็นเดือนๆ พยายามฝึกไทชิและนั่งสมาธิ ผมมีความรู้สึกแน่ใจว่า ผมอยู่ในสมาธิตลอดเวลา ไม่เคยหลุดออกมา แม้เวลาจะผ่านมานาน แต่ผมก็ยังมีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่ มาถึงตอนนี้ผมสามารถนำมันมาใช้กับโลกภายนอกได้ โดยการฝึกมากขึ้น เฝ้ามองใจของ ตัวเอง พยายามสร้างโพธิจิต(จิตรู้แจ้ง)ให้เกิดขึ้นในใจ”

ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 45 นั้น เกียร์ให้สัมภาษณ์ว่ากำลังศึกษา และปฏิบัติธรรมอยู่ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ เขาได้ให้มุมมองในเรื่องนี้ว่า

“เราต้องคิดว่าบรรดาผู้ก่อการร้ายนั้นได้ก่อความเลว ร้ายให้กับชีวิตภายหน้าของพวกเขาไว้แล้ว เรียกว่าสร้างกรรมชั่ว และเราจะต้องมองให้กว้างไกลว่า เราทุกคนต่าง เกี่ยวโยงกับการกระทำครั้งนี้เช่นกัน” และยังย้ำว่า “เราต้องให้ความรักและเมตตากับทุกคน ไม่เว้นแม้พวกที่ก่อการร้าย ถ้าเราทั้งหลายสามารถที่จะมองพวกผู้ก่อการร้าย ด้วยความคิดว่า เขาเหล่านั้นคือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการบำบัดรักษา ยาที่จะรักษาพวกเขาได้ก็คือ ความรักและเมตตานั้นเองไม่มีอะไรจะดีกว่านั้นอีกแล้ว”


เกียร์ทำสมาธิเป็นประจำทุกวัน “เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผมเกิดแรงจูงใจในแต่ละวัน” เขาพูด และบอกต่อไปว่าการทำสมาธิของเขา คือ “#การทลายกำแพงของอัตตาลง ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนตัวตนของคุณให้เป็นอีกคนหนึ่ง และเมื่อคุณได้เรียนรู้การเข้าถึงธรรมชาติของตัวตน คุณจะเริ่มเข้าใจว่าแบบแผนชีวิตของคุณเป็นอย่างไร และอะไรทำให้คุณตกอยู่ในสภาวะสับสน ผิดหวัง ไม่เป็นสุข ดังนั้น คุณก็จะรู้ว่า ทำไมมันถึงเกิดขึ้น และจะหา ทางหลุดจากตรงนั้นได้อย่างไร เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไป”

ดาราดังย้ำถึงเป้าหมายสูงสุดในการทำสมาธิว่า “เพื่อที่เราจะได้มีความสุขมากขึ้น คือช่วยทำให้สภาพทางอารมณ์และจิตใจดีขึ้น มันเป็นแนวทางปฏิบัติที่จะพาพวกเราผ่านพ้นความทุกข์ มุ่งหน้าสู่ความสุข แต่เป็นเพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ชีวิตจึงดูวุ่นวายสับสนทุกครั้งไป การอ่านใจตนเอง ก็คือ มองที่ตัวเราเองและเข้าใจจิตวิญญาณ ความเกลียดจะกลายเป็นความรักและนั่นเป็นหนทางที่ผมกำลังปฏิบัติอยู่”

• ก้าวเป็นศิษย์เอก ‘ทะไล ลามะ’


เกียร์เล่าว่าเขาเป็นสานุศิษย์ขององค์ทะไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณแห่งทิเบต มาตั้งแต่ปี 1982 และเขามักจะเดินทางไปที่ธรรมศาลา ในอินเดีย ซึ่งเป็นตั้งของรัฐบาลทิเบตพลัดถิ่น เพื่อพบกับองค์ทะไล ลามะ การพบกันในครั้งแรกที่ธรรมศาลานั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างสมบูรณ์

“มันเหมือนรักแรกพบฉันใดฉันนั้น ผมรู้สึกได้ถึงความเชื่อมั่นและความสงบในทันที มันยากมากที่คุณจะพบคนคนหนึ่งที่มีความต้องการเพียงสิ่งเดียว คือ ให้คุณมีความสุข และท่านรู้หนทางนำไปสู่สุข เมื่อคุณปฏิบัติตามด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว คุณจะพบความสุขในที่สุด คุณอาจต้องเวียนว่ายตายเกิดหลายครั้งเพื่อที่จะบรรลุถึงจุดนั้น แต่รับรองว่าคุณจะพบความสุขได้แน่


เมื่อเจอกันครั้งแรก เราคุยกัน และท่านก็พูดขึ้นว่า “โอ.. คุณเป็นนักแสดงหรือ” ท่านหยุดคิดพักหนึ่งและพูด ต่อไปว่า “เมื่อคุณแสดงบทโกรธ คุณต้องรู้สึกโกรธจริงๆหรือเปล่า และถ้าเล่นบทเศร้า ต้องรู้สึกเศร้าจริงๆมั้ย เมื่อร้องไห้ ต้องร้องจริงๆหรือเปล่า” ผมตอบท่านว่า นักแสดง ต้องอยู่ในอารมณ์นั้นจริงๆ จึงจะแสดงได้สมบทบาทองค์ทะไล ลามะจ้องตาผมและหัวเราะ แท้จริงแล้ว ท่านหัวเราะความคิดที่ผมเชื่อว่าอารมณ์เป็นเรื่องจริง และผมต้องพยายามเชื่อว่ามีอารมณ์โกรธ เกลียด เศร้า เจ็บปวด และทุกข์

ปัจจุบันผมมาหาท่านที่นี่บ่อยมาก และยังรู้สึกเหมือน ครั้งแรกที่ได้พบท่าน ยังรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เจอ ผมมีเรื่อง ราวมากมายที่จะบอกท่าน และถึงตอนนี้ ท่านเริ่มชินแล้ว ท่านเป็นคนที่จับจุดเก่ง และจะให้คำแนะนำได้เป็นอย่างดี เพราะทุกคนที่มาหาท่าน เพราะต้องการหาทางคลายทุกข์
ผมคิดว่า เมื่อคุณได้สัมผัสท่าน จะมีผลต่อตัวตนของคุณเกือบทุกด้าน ความรู้สึกนึกคิดของคุณจะเปลี่ยนแปลงไป”

• บนวิถีแห่ง “โพธิสัตว์”


ในโลกมายา เกียร์ได้ชื่อว่าเป็นดาราเจ้าบทบาท เป็นพระเอกโรแมนติกแห่งฮอลลีวูด เป็น 1 ใน 50 บุคคลหน้าตาดีที่สุดในโลก และเป็นผู้ชายเซ็กซี่ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ ของนิตยสาร People ฯลฯ
แต่ในเส้นทางธรรม นักแสดงหนุ่มใหญ่วัย 60 ปีเศษคนนี้ ได้รับการเรียกขานเป็น “อเมริกัน โพธิสัตว์” อันเนื่อง มาจากการทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เพราะในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนั้น สอนให้ทุกคนบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์ (หมายถึงผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า) เพื่อช่วยปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์โลก เพื่อให้เข้าถึงความเป็นพุทธะ เพราะทุกคนสามารถบรรลุโพธิภาวะได้ เนื่องจากมี “#โพธิจิต” คือจิตที่จะบรรลุโพธิได้อยู่ในตัวเอง

เกียร์เล่าว่า ในปี 1978 เขาได้ค้นพบเส้นทางที่นำไปสู่การทำงานช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อย่างจริงจัง
“หลังเสร็จสิ้นภารกิจจากงานเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ ผมได้เดินทางไปที่อินเดียและเนปาล ขณะที่ผมอยู่บริเวณเทือกเขาหิมาลัย นอกเมืองโพคารา ผมเดินไปเจอหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แถวนั้นไม่มีรถสักคัน ผมเห็นป้ายเขียนด้วยลายมือว่า “ผู้อพยพชาวทิเบต” ผมจึงเดินตามไปเรื่อยๆ และเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นดินแดนหลังเส้นขอบฟ้าก็ได้ คนที่นี่มีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไปที่ผมเคยพบปะ เวลาพวกเขาคิดและพูดจะเป็นในนามของส่วนรวม ไม่ใช่เฉพาะตน เมื่อพวกเขาพูดถึงเรื่องความรู้สึกนึกคิดของเขา ก็จะชี้นิ้วมาที่หัวใจของตัวเอง”

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับพระเอกหนุ่มในตอนนั้นก็คือ
“มีหลายครั้งที่เมื่อคุณเดินผ่านเข้าประตูหรือเข้าไปในหุบเขา หรือเมื่อคุณเจอหน้าภรรยา และคุณก็คิดในใจว่า “ผมกลับถึงบ้านแล้ว” นี่แหละเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวผม”

ประสบการณ์ดังกล่าว เป็นแรงจูงใจให้เขาหันมาเป็นผู้สนับสนุนในนามของผู้ลี้ภัยชาวทิเบต และอีก 2 ปีต่อมา คือปี 1980 เขาเริ่มคิดว่าต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ

• #จากความคิดสู่การปฏิบัติ


ดังนั้น ต่อมาเกียร์จึงได้เป็นประธานก่อตั้ง “Tibet House” ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นองค์กร NGO ที่ปกป้องคุ้มครองวัฒนธรรมทิเบต เขาได้สนับสนุน “Survival International” องค์กรสากลที่ให้ความช่วยเหลือชนกลุ่มน้อย อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี

นอกจากนี้ยังสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชนในอเมริกา กลางและในโคโซโว จัดตั้งมูลนิธิเกียร์ ในปี 1991 ซึ่งเป็นองค์กรช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และมูลนิธิ Healing the Divide ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ช่วยเหลือชุมชนทั้งในและนอกประเทศ เกี่ยวกับปัญหาทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น การรณรงค์เรื่อง HIV/AIDS โดยเขาได้บริจาคเงินนับล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังช่วยรณรงค์หาเงินบริจาคเข้าองค์กรเหล่านี้อีกมากมาย

พระเอกหนุ่มใหญ่บอกว่า “ถ้าคนเหล่านี้ไม่มีที่ดินอาศัยทำมาหากิน พวกเขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย เมื่อคุณสูญเสียแผ่นดินเกิด ก็เท่ากับคุณสูญเสียวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิม นั่นคือ คุณสูญเสียความเป็นตัวตนของคุณเอง มันเป็นหน้าที่ของประเทศร่ำรวย ที่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา โลกใบนี้จะอยู่ไม่ได้ ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด ศาสนาใด ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับคน 1 คน จะแพร่กระจายไปยังคนอื่นๆทั่วโลก”

แต่จริงๆแล้ว เกียร์บอกว่า เมื่อปี 2005 บิดาของเขาได้นำบทความที่เขาเคยเขียนไว้เมื่อตอนอายุ 18 ปี เกี่ยวกับการไม่ใช้ความรุนแรง ให้เขาอ่าน เขาจึงแน่ใจว่า เมล็ดพันธุ์ด้านมนุษยธรรม ถูกปลูกฝังในตัวเขา ก่อนที่จะเดินทางไปเนปาลเสียอีก

• #ได้รับยกย่องจากเพื่อนๆและผู้คนในวงการบันเทิง


เกียร์ทำงานด้านมนุษยธรรมมาถึงปัจจุบันก็ 29 ปีแล้ว เขาได้พบวิธีสร้างสมดุลระหว่าง “ชีวิตที่เป็นเปลือกนอก” คืองานการแสดง และ “ชีวิตที่เป็นแก่นใน” นั่นคือการพัฒนาจิตวิญญาณและความต้องการช่วยเหลือเพื่อน มนุษย์

ด้วยการรณรงค์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในเรื่องสิทธิมนุษยชน การปฏิรูปเรือนจำ การให้ความรู้เรื่อง HIV/AIDS และการเป็นกระบอกเสียงให้ผู้อพยพชาวทิเบต ทำให้เกียร์ได้รับรางวัล “Marian Anderson Award” (Marian Anderson นักร้องชื่อดังของอเมริกา เป็นผู้ก่อตั้งรางวัลนี้ โดยใช้ความมีชื่อเสียงของเธอช่วยเหลือสังคม) ประจำปีที่ 9 ในปี 2007 และได้รับการสดุดียกย่องจากเพื่อนฝูงและผู้คนในวงการบันเทิง

ไดแอน เลน นักแสดงหญิงที่เล่นหนังคู่กับเกียร์หลายเรื่องกล่าวว่า “สิ่งที่ฉันรักมากที่สุดในตัวริชาร์ดก็คือ เขาเป็นคนที่รักษาคำพูด"

ภิกษุหัวใจโพธิสัตว์ ถวายชีวิตในกองเพลิง

ติช กว๋าง ดึ๊ก ชื่อก้องโลก : 

ภิกษุหัวใจโพธิสัตว์ ถวายชีวิตในกองเพลิง สืบอายุพระศาสนาในเวียดนาม.



บทความเพื่อบูชา พระสงฆ์ผู้มีหัวใจเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนาด้วยชีวิต.
-------
ติช กว๋าง ดึ๊ก : พระผู้มีหัวใจพระโพธิสัตว์
- วันที่ 11 มิถุนายน 2559 ซึ่งหากย้อนไปใน ปี พ.ศ. 2506 คือ เมื่อราว 53 ปี ที่แล้ว.

- ได้มีเหตุการณ์สำคัญ และยิ่งใหญ่ในแวดวงพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ที่ประเทศเวียดนามใต้.

- นั้นคือ เหตุการณ์การจุดไฟเผาตัวเอง ของ พระสงฆ์ชาวเวียดนาม ที่ชื่อ ติช กว๋าง ดึ๊ก ที่สี่แยก ถนนกลางกรุงไซง่อน.

- เพื่อประท้วง "การไม่ให้ความเท่าเทียมกันทางศาสนากับของพุทธศาสนา ของรัฐบาลโง ดิ่ญ เสี่ยม".
----
- วันนี้ 11 มิ. ย. เป็นวันครบรอบ การเสียสละชีวิต อันยิ่งใหญ่ ของ พระสงฆ์ชาวเวียดนาม นามว่า ติช กว๋าง ดึ๊ก ซึ่งต้องถือว่า...
"แม้น รูปสลาย กายแตกดับ แต่นามเป็นอมตะ จารึกโลกคู่พระศาสนาตลอดไป".
-----
- ผมอยากจะให้ พระสงฆ์ไทย และพระสงฆ์ทั่วโลก ได้ร่วมกัน จดจำ รำลึก คุณูปการ อันเด็ดเดี่ยว ที่ควรค่าแก่การค่อมเศียร น้อมลงคารวะ ด้วยหัวใจแห่งพุทธบุตร ในการเสียสละเพื่อพระพุทธศาสนาในครั้งนี้ครับ.
-----



เรื่องราวเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์เวียดนาม
- วันแห่งการเสียสละชีพของท่าน "ติช กว๋าง ดึ๊ก" พระภิกษุมหายาน ชาวเวียดนาม.

- 11 มิถุนายน พ.ศ.2506 ศาสนาพุทธในเวียดนาม ตรงกับสมัยที่ประเทศเวียดนามใต้ มีประธานาธิบดี คือ "นาย โง ดินห์ เดียม".

- ในช่วงนั้น พระพุทธศาสนาในเวียดนามใต้ถูกทำลายเป็นอย่างมาก.
- เนื่องจาก โง ดินห์ เดียม พี่ชาย คือโง เดียม ถึก และน้องชาย คือ โง ดิน นูห์ ซึ่งบุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลสำคัญ และทรงอิทธิพลสุดในรัฐบาลเวียดนามในสมัยนั้น.



- ทั้ง 3 ท่านนี้ ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ได้พากันกดขี่ข่มเหงประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธอย่างที่สุด.

- นายโง ดินห์ เดียม ประธานาธิบดี ของ เวียดนาม
ก่อนวันวิสาขบูชา ที่ ๘ พฤษภาคม ปี ๒๕๐๖.

- โดยรัฐบาลได้ออกนโยบาย เพื่อบังคับให้ประชาชนที่นับถือพระพุทธศาสนา ต้องตกอยู่ในสถานะที่แทบเรียกว่า ต่ำยิ่งกว่าชนชั้นค่ำสุดในประเทศในยุคนั้น.

- เช่น ได้ออกคำสั่งให้ประชาชนทุกบ้าน ห้ามชักธงธรรมจักร หรือสัญญาลักษณ์ใด ๆ เกี่ยวกับศาสนาพุทธปรากฎให้เห็นเป็นอันขาด.

- มีบันทึกไว้ว่า ถ้าพุทธศาสนิกชนในเมืองเว้ ชักธงทางพุทธศาสนาขึ้น เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะนำธงลงจากเสา แล้วนำไปเผาทิ้งทันที.

- ที่สำคัญจะมีโทษอย่างรุนแรง จนประชาชนชาวพุทธหวาดผวา หลบ ๆ ซ่อน ๆ ในการทำกิจกรรมทางพระศาสนา.

- สุดท้ายเหตุการณ์นี้ ทำให้ชาวพุทธในประเทศเวียดนาม โกรธแค้น และออกมาเดินขบวนประท้วงเป็นจำนวนมาก.

- รัฐบาลมิจฉาทิฎฐิ ได้สั่งทหารเข้าปราบปรามชาวพุทธอย่างรุนแรง และเด็ดขาด.



- เหตุการณ์นี้ ประวัติศาตร์ได้บันทึกไว้ว่า ..
"เป็นเหตุให้พระภิกษุ และชาวบ้านเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แทบจะหมดพระสงฆ์ไปจากเวียดนามเลยทีเดียว".
-----
วันที่ชาวพุทธทั่วโลกจะต้องจดจำ
- วันนั้น ตรงกับวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2506 พระภิกษุในพุทธศาสนา มหายาน ที่นามว่า ติช กว๋าง ดึ๊ก อายุ 73 ปี จาก วัดเทียนมู่.



- ได้ทนเห็นความทารุณโหดร้าย ในการใช้อำนาจรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ไหว.

- ท่านจึงได้ตั้งใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่จะหยุดยั้งเหตุการณ์ร้าย ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ได้ ก่อนที่ชาวพุทธจะล้มตายไปมากกว่านี้.

- ท่านจึงตั้งใจมอบชีวิตแก่พระพุทธศาสนา.

- จุดประสงค์ของท่าน
"เพื่อต้องการให้รัฐบาลชั่วในขณะนั้น ได้หยุดปราบปรามชาวพุทธ มอบความเท่าเทียมต่อประชาชนที่ต่างศาสนา".

- ท่านจึงได้ทำการสร้างมหากุศลครั้งนิ่งใหญ่ ด้วยการใช้น้ำมันราดตัวเอง และจุดไฟเผาตัวเอง ที่สี่แยกกลางกรุงไชง่อน ดังภาพเหตุการณ์.



- โดยท่านติช กว๋าง ดึ๊ก กล่าวว่า..,

"ขอเอาชีวิตน้อย ๆ ของ ท่านนี้ เผื่อเป็นประทีปส่องใจอันมืดมน ของ พี่น้องชาวเวียดนาม
ข้าพเจ้าขอตายเพื่อไถ่บาปพี่น้องชาวเวียดนามทุกๆ คน
ขอให้เลิกเข่นฆ่ากัน

ข้าพเจ้าไม่ได้ตายเพราะความโง่เขลา

ข้าพเจ้าไม่ได้ฆ่าตัวตายเพราะมิจฉาทิฏฐิ
แต่ข้าพเจ้าตายเพื่อคนหูหนวกจะได้ยิน
เพื่อคนตาบอดจะได้มองเห็น
เพื่อยุติการเข่นฆ่าสายเลือดเดียวกัน".
----

- โดยก่อนหน้านั้น ท่านติช กว๋าง ดึ๊ก ท่านได้เขียนจดหมายถึง รัฐบาล นายโง ดินห์ เดียม ในการเสียสละตนเองครั้งนี้ว่า..

1. เพื่อป้องกันพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาดั้งเดิมของประเทศชาติ.

2. ขอเตือนการกระทำที่บีบคั้น และฆ่าพระภิกษุ แม่ชี และคนทั่วไปในประเทศ.


3. ขอร้องให้ท่านมอบอิสรภาพให้แก่ผู้นำชาวพุทธทั้งหลาย ในคณะกรรมการป้องกันพระพุทธศาสนา พระภิกษุ แม่ชี และพุทธศาสนิกชนที่ถูกจับขังอยู่ในขณะนี้.


4. ให้ยุติสถานการณ์เลวร้าย และเลิกจับพระภิกษุ แม่ชี และพุทธศาสนิกชนอีก.


5. ให้เลิกองค์การคณะสงฆ์รวมทั้งบุคคลที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาหลอกลวงปิดบังความจริงเป็นเหตุให้ประชาชนโง่เขลา.


*** 

สรุป
- ขอให้ชาวพุทธทุกท่านในปัจจุบันนี้ ได้ร่วมกันกราบคารวะการจากไปของท่าน ติช กว๋าง ดึ๊ก พระสงฆ์ผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่เพื่อพระศาสนา.

- ขอให้พระพุทธศาสนาในเมืองไทย จงอย่าได้ถูกทำลาย โดย บุคคลที่มีมิจฉาทิฏฐิ ดังเช่นอดีตอันแสนเจ็บปวดในเวียดนามใต้ในครั้งนั้นเลย.

- ขอให้พระพุทธศาสนาจงอยู่คู่สถาบันพระมหากษัตริย์ และเมืองไทยตราบนานเท่านาน เทอญ.

ติช กว๋าง ดึ๊ก ชื่อก้องโลก : ภิกษุหัวใจโพธิสัตว์ ถวายชีวิตในกองเพลิง สืบอายุพระศาสนาในเวียดนาม.

- เป็นพระรูปที่ท่านจุดไฟเผาตัวเอง เพื่อประท้วงรัฐบาลเวียดนาม 

- ซึ่งภาพ และข่าวนี้ ปรากฎเผยแพร่อย่างกว้างขวางไปทั่วโลก จนช่างภาพที่ชื่อ มัล คอล์ม บราวน์ ได้รับรางวัล พูลิตเซอร์

- เหตุการณ์ครั้งนั้น ครบรอบ 53 ปี พอดีในวันนี้ คือเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2506 ที่ผ่านมา.



- จุดประสงค์ที่ผมคิดจะหยิบเรื่องนี้ มานำเสนอ ก็ด้วยเหตุ 2 ประการหลัก ๆ คือ

1. เพื่อบูชาหัวใจรักในพระศาสนา ของ หลวงพ่อ ติช กว๋าง ดึ๊ก ที่ต้องถือว่า เป็นผู้มีหัวใจเด็ดเดี่ยว สละแม้กระทั้งชีวิต เพื่อพระพุทธศาสนา.

- ท่าน ติช กว๋าง ดึ๊ก รูปนี้ ชาวเวียดนาม ถือว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งภายหลัง เมื่อนำสรีระของท่านไปทำพิธีเผา ปรากฎว่า ส่วน ของ "หัวใจท่านกลับไม่ไหม้ไฟ".

2. เพื่อเป็นอุทาหรณ์ เตือนสติคนไทย และชาวพุทธในประเทศไทยทุกคน ว่า ...

- หากยังเป็นมิจฉาทิฎฐิอยู่ มัวหลงในกระแสโลกสมมติ เมาในอำนาจ ทะเลาะขัดแย้งกันไม่จบสิ้น ไม่สามัคคีกันสักที ดังที่เป็นอยู่ขณะนี้นั้น.

- ให้ระวังไว้เถอะว่า เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ มันอาจเกิดขึ้นในประเทศไทยเราก็ได้.

ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ ท่านเจ้าคุณเบอร์ลิน

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

Obama's sister is Buddhist

น้องสาวของประธานาธิบดีบารัคโอบามา ประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธ ต่อการสัมภาษณ์นิตยสาร time นิวยอร์ก

Obama's sister is Buddhist
Questions for Maya Soetoro-Ng
Interview by Deborah Solomon
Q: Let's talk about the Democratic presidential caucuses taking place on Feb. 19, in Hawaii, where Barack Obama was born. Will you be campaigning for your brother?



Yes, of course. I have taken time off from my various teaching jobs in Honolulu and just got back from two months of campaigning. I have a bumper sticker on my car that says: "1-20-09. End of an Error."

What kind of bumper sticker is that?
It doesn't even mention a candidate by name. That's just one bumper sticker. I have three others on my car, including one that says, "Women for Obama."

What is the age difference between you and Barack?
I'm nine years younger. Our mother, after divorcing Barack's father, met my father at the same place, the East-West Centre on the University of Hawaii campus.

Barack's father was Kenyan, and yours was Indonesian. Your mom was what used to be called a freethinker, a white anthropologist from Wichita, Kan., who moved to Jakarta after her second marriage.
My mother was a courageous woman. And she had such tremendous love for life. She loved the natural world. She would wake us up in the middle of the night to go look at the moon. When I was a teenager, this was a source of great frustration because I wanted to sleep.

She died at only 52, from ovarian cancer. Today, more than anything, I wish all the women in Barack's life — our mother, his wife and daughters, my daughter, our grandmother, his Kenyan half-sister — I wish we could all sit together and gaze at the moon.
Your mom has been described as an atheist.
I wouldn't have called her an atheist. She was an agnostic. She basically gave us all the good books - the Bible, the Hindu Upanishads and the Buddhist scripture, the Tao Te Ching — and wanted us to recognize that everyone has something beautiful to contribute.
You didn't mention the Koran in that list, although Indonesia is the most populous Muslim country in the world.
I should have mentioned the Koran. Mom didn't really emphasize the Koran, but we read little parts of it. We did listen to morning prayers in Indonesia.
Are you worried about mentioning Islam because it has already been evoked by negative campaigners trying to tarnish your brother?
I'm not worried. I don't want to deny Islam. I think it's obviously very important that we have an understanding of Islam, a better understanding. At the same time, it has been erroneously attached to my brother. The man has been a Christian for 20 years.

What religion are you?
Philosophically, I would say that I am Buddhist.

What effect do you think your mother's wanderlust had on Barack?
Maybe part of the reason he was so attracted to Chicago and his wife, Michelle, was that sense of rootedness. He elected to make a choice, whereas Mom sort of wandered through the world collecting treasures.
Do you think of your brother as black?
Yes, because that is how he has named himself. Each of us has a right to name ourselves as we will.
Do you think of yourself as white?
No. I'm half white, half Asian. I think of myself as hybrid. People usually think I'm Latina when they meet me. That's what made me learn Spanish.
That sort of culturally mixed identity was seen as an anomaly when you were growing up.
Of course, there was a time when that felt like unsteady terrain, and it made me feel vulnerable.
You were ahead of the multicultural curve.
That's one of the things our mother taught us. It can all belong to you. If you have sufficient love and respect for a part of the world, it can be a meaningful part of who you are, even if it wasn't delivered at birth.
- Courtesy The New York Times

cr.aj.kratik

http://www.sundaytimes.lk/080203/International/international0009.html

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ขอเหตุการณ์เหล่านี้อย่าเกิดกับไทยเราเลย!!!

พระพุทธรูปอายุเป็นพันปีที่จมอยู่ในทะเลประเทศอินโดนีเซีย 

ค้นพบโดยบังเอิญจากนักดำน้ำ 
 ในอดีตพุทธศาสนารุ่งเรืองในอาณาจักรศรีวิชัยแต่ปัจจุบันอย่างนี้ 
ในเมืองไทยเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือเปล่าในภายภาคหน้า ต้องช่วยดูแลรักษาพระศาสนาให้คงอยู่ตราบนานเท่านานนะ


  ใต้ทะเลลึกอินโดนีเซีย มีพระพุทธรูปสงบนิ่งอยู่เป็นพันปี..ย่อมแสดงว่าดินแดนแห่งนี้เคยมีศาสนาพุทธเข้ามาเผยแพร่ก่อนศาสนาอื่นจะเข้ามาแทนที่ หลังจากศาสนาพุทธที่ประเทศอินเดียถูกทำลายลงศาสนาพุทธได้มาลงหลักปักฐานมั่นคงที่ดินแดนอินโดนีเซีย
แต่แล้วมุสลิมก็ส่งคนแทรกเข้าสู่ในวังสำเร็จพร้อมดึงมกุฏราชกุมารเข้ารีดนับถืออิสลาม


  เมื่อมกุฏราชกุมารเข้านับถืออิสลามได้ทำการยึดอำนาจจากพระราชบิดาพร้อมสั่งทำลายพระพุทธศาสนาขนย้ายพระพุทธรูปและเทวรูปต่างๆไปทิ้งทะเลลึก พระพุทธศาสนาในประเทศอินโดนีเชียก็ถูกทำลายย่อยยับจากนั้นจนถึงปัจจุบัน


  ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาระบุว่า “ถึงแม้ว่าในปัจจุบันประเทศอินโดนีเซียจะเป็นประเทศนับถือศาสนาอิสลาม แต่อดีตเคยมีพระพุทธศาสนาแบบมหายานเข้ามาประดิษฐานอยู่ พระพุทธศาสนาได้รุ่งเรืองมาก 


  ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 มีโบราณสถานที่สำคัญสองแห่งอยู่ในอินโดนีเซียคือ โบโรบุดูร์ หรือ บรมพุทโธ ตั้งอยู่ที่ราบเกตุ (kedu)ในภาคกลางของชวา ห่างจากเมืองยอกยาการ์ตา (Jogjagata) ในปัจจุบันทางเหนือประมาณสี่สิบกิโลเมตร และพระวิหารเมนดุต (Mendut) ซึ่งอยู่ห่างจาก โบโรบุดูร์ไปทางทิศตะออกสามกิโลเมตร ต่อมาเมื่ออิสลามได้ขยายอำนาจครอบงำอินโดนนีเซียในปีพุทธศักราช 2012 ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่จึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาขณะที่พระพุทธศาสนาตกอยู่ในภาวะเสื่อมโทรมตลอดระยะเวลาอันยาวนาน”


  พระพุทธศาสนาในอินโดนีเซียมีส่วนผสมของฮินดูจนบางครั้งแยกกันไม่ออก ฮินดูและพุทธจึงอยู่ร่วมกันจนมีผู้มองว่า “ศาสนาพุทธแตกกิ่งก้านมาจากฮินดู แต่มีความอ่อนโยนและลึกซึ้งกว่า แผ่ขยายสู่จีนและผ่านทางการออกธุดงค์ของพระสงฆ์ ก่อนเข้าสู่ชวาและสุมาตรา โดยพื้นฐานแล้วศาสนาพถุทธแตกสาขามาจากฮินดูก็จริง แต่ละทิ้งแนวคิดเรื่องวรรณะเช่นเดียวกับความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าหลายองค์ 


  และเสนอแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามหลักศีลธรรม ชาวพุทธในอินโดนีเซียส่วนใหญ่เป็นคนจีน แม้จะเป็นพุทธที่ผสมผสานกับความเชื่อของบรรพบุรุษคือลัทธิเต๋าและขงจื้อ แต่คนจีนส่วนใหญ่ชอบบอกว่าตนเป็นคนพุทธ (ศิริพร โตกทองคำ,อินโดนีเซีย,กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์สู่โลกกว้าง,2549,หน้า 63)

Cr: ขอบคุณข่าวและภาพ 30 พ.ค.2559

…ขอขอบคุณรูปภาพประกอบฯ ขออนุโมทนาบุญ
จงบังเกิดแก่ผู้อ่าน และเพื่อนๆ กัลยาณมิตรทุกท่านด้วยครับ…
(การให้ธรรมะเป็นทาน เหนือการให้ทานทั้งปวง)

…….. ธ ร ร ม ะ สุ ข ใ จ …….. (S.Sopit)
........จากเพจ เสรีชน เสรีธรรม