วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วันนี้วันพระ "วันอัฏฐมีบูชา"


เป็นวันที่ถือกันว่าตรงกับ 

วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ (เผาศพพระพุทธเจ้า) 

วันนี้จึงเรียกว่า “วันอัฏฐมีบูชา” 

ซึ่งประวัติความเป็นมาของวันอัฏฐมีบูชา คือ 

เมื่อวันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ 

ในพรรษาที่ ๔๕ 

พระพุทธเจ้าได้ทรงประชวรหนัก 

ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน 

ได้ทรงปลงมายุสังขาร

โดยพระพุทธเจ้าตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า 

  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลาย 

ย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา 

ทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตน 

และประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาท

ให้ถึงพร้อมเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคต 

จักมีในไม่ช้า โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ 

ตถาคตก็จักปรินิพพาน ฯ”  

(ทีฆนิกาย มหาวรรค. ๑๐/๑๐๐/๑๐๘)

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

สภาสงฆ์ "พุทธเถรวาทโลก" เกิดแล้ว"

"World Theravada Buddhist Sangha Council - 
"World Theravada Buddhist Sangha Council  
สภาสงฆ์ "พุทธเถรวาทโลก" เกิดแล้ว"



ผลงานของพระสงฆ์เถรวาทชาวเอเชีย


ครอบคลุมเถรวาททั่วโลก

เป้าหมาย เพื่อเอกภาพของพระพุทธศาสนา

ลังกา คือ ต้นแบบของธนาคารพุทธ และต้นแบบ

ของนักการเมืองชาวพุทธเพื่อรักษาพระพุทธศาสนา

บางทีไทยอาจต้องเป็นอย่างลังกา ?

+×÷=+×÷=






 



  "เถรวาท" คือ ชื่อกลุ่มของพระสงฆ์ที่ถือตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระเถระ ๕๐๐ รูปมีพระมหากัสสปะเป็นผู้นำรวบรวมไว้หลังจากพระพุทธเจ้านิพพาน

         คำนี้เกิดขึ้นใช้เรียกกลุ่มของพระอย่างที่รู้กันว่าเป็นนิกาย (ภาษาอังกฤษ เรียกว่า school หรือ sect)เมื่อ พ.ศ. ๑๐๐-๑๓๐ ที่แคว้นวีชชี 

         ซึ่งอยู่ในอินเดียเหนือ (ปัจจุบันคืออุตตรประเทศ) คู่กับคำว่า "มหาสังฆิกะ" (ผู้มีพวกมาก) ๑๐๐ ปี 

         นิกายทั้งสองก็แตกลูกแตกหลานออกมา แยกเป็นนิกายเถรวาทแตกออกมาอีก ๑๑ นิกายย่อย ส่วนมหาสังฆิกะแตกออกมา ๕ นิกายย่อย รวมแล้วเป็น ๑๘ นิกาย

         และต่อมาตก พ.ศ. ๔๐๐ เศษ พระกลุ่มหนึ่งแยกตัวออกมาจาก ๑๘ นิกาย เพื่อตั้งกลุ่มใหม่ 

         เพื่อกอบกู้พระพุทธศาสนาที่กำลังจะหมดคนนับถือ เพราะคนอินเดียยุคนั่นเริ่มทิ้งพระพุทธศาสนากลับไปนับถือศาสนาพราหมณ์ 

         ด้วยเหตุผลคือ ๑) เพราะพระสงฆ์ส่วนมากมุ่งเอาสุขเฉพาะตัว ไม่สนใจปฏิบัติและเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า 

         ๒) เพราะศาสนาพราหมณ์สร้างพระเจ้าเพิ่มจากพระพรหมอีก ๒ คือ พระวิษณุ กับ พระศิวะ รวม เป็น ๓ ที่เรียกว่า "ตรีมูรติ" มาช่วยผู้คน เลยดึงคนออกไปจากพระพุทธศาสนา 

         พระกลุ่มนี้เรียกแนวทางใหม่ที่ท่านคิดขึ้นว่า "มหายาน" (ยานลำใหญ่ ขนคนให้พ้นทุกข์ได้มาก) แล้วเรียก"เถรวาท" เดิมทุกข์นิกายว่า "หีนยาน" (ยานลำเล็กขนคนให้พ้นทุกข์ได้น้อย)



         เถรวาท เข้ามาเผยแพร่อยู่ในประเทศเอเชียใต้คือลังกาและในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ พม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย 

         ตั้งแต่ยังเป็นสุวรรณภูมิ (พ.ศ.๒๓๙ ในรัชกาลพระเจ้าอโศก) และอยู่เรื่อยมาถึงปัจจุบัน แต่ในช่วงเวลานับพันปี 

         ชาวพุทธในประเทศเหล่านี้ต้องรู้สึกหวานอมขมกลืนกับคำว่า "หีนยาน" ที่พระซึ่งเรียกตัวเองว่ามหายานเมื่อ พ.ศ. ๔๐๐ จัดให้ 

         จนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ จึงพ้นจากคำนี้กลับมาใช้คำว่า "เถรวาท" โดยที่ประชุมองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกมีมติให้เลิกใช้ "หีนยาน" แต่ใช้ "เถรวาท" แทนมานับแต่นั้น



         ปัจจุบันเถรวาท เข้มแข็งอยู่ใน ๓ ประเทศ คือ ลังกา พม่า ไทย ที่ว่าเข้มแข็ง คือ เข้มในด้านที่มีอิทธิพลต่อผู้คนและรัฐบาล

         อย่างในลังกา ชาวลังกาเป็นหนี้บุญคุณพระมากเพราะพระร่วมมีบทบาทสำคัญในการกอบกู้เอกราช 

         ทั้งๆที่พระพุทธศาสนาเกือบราบคาบไปแล้วเพราะฝีมือบาทหลวง 

         แต่พระก็กอบกู้กลับมาได้ด้วยการลงทุนศึกษาอังกฤษแล้วท้าบาทหลวงโต้วาทะกันเรื่องคำสอนในศาสนาใครศาสนาท่าน

         ในที่สุดบาทหลวงยอมถอย และศาสนาคริสต์เองก็คงมีคุณธรรมอยู่บ้างจึงละอายใจที่จะยึดครองแบบไม่ว่าจากการแย่งชิงหรือใล้แง่มุมทางกฏหมาย



         ในพม่าเอง เมื่อถูกอังกฤษรุกราน พระพม่าก็อุทิศตัวรักษาพระพุทธศาสนาย่างเต็มที่และช่วยบ้านเมืองจนได้เอกราช จึงได้ใจประชาชน 

         คราวเกิดเผด็จการครองเมืองก็ร่วมสู้ด้วยด้วยการสอนธรรมะ แต่บางรูปอาจสอนแรงไปหน่อย เลยต้องระหกระเหินหนีไปอยู่อเมริกา อย่างท่าน "อชิน ญาณิสสระ"

         ...แต่ก็กลับมายิ่งใหญ่ในที่สุด ถึงขนาดกลับมาตั้งมหาวิทยาลัย ตั้งโรงพยาบาล พัฒนาบ้านเกิดเป็นเมือง 

         รัฐบาลเผด็จการพม่าเองก็ฉลาด รู้ว่าท่านเก่งและตัวเองก็ทำอะไรท่านไม่ได้ก็เลยขอดีด้วยและตั้งท่านให้เป็นทูตวัฒนธรรมช่วยเป็นปากเสียงแทนรัฐบาลพม่าในต่างแดน...

ผิดกับรัฐบาลบางประเทศไล่ล่าลูกเดียว...

         ส่วนในไทย ดูจะอ่อนแอลง พระไม่กล้าขัดขืนฝ่ายปกครอง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ? เลยทำให้คนนอกทั้งหลายได้ใจเบียดเบียนถึงขั้นจะหาทางยุบมหาเถรสมาคม 


ซึ่งเป็นองค์การปกครองสูงสุดหรือเป็นรัฐบาลของคณะสงฆ์ไทย ถ้ายุบได้ละคงงามหน้ามหาเถร 

สูญเสียความเป็นพี่เบิ้มด้านเถรวาทในเอเชียแน่ ท่านวางอุเบกขาดีจริงๆ 

คิดแล้วใจหาย....พระเองท่านยังปกป้องตัวเองไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับกบเขียดอย่างพวกเราจะไปคุ้มครองท่านได้...

แต่มาวันนี้แล้วอุ่นใจ แม้สถาบันสงฆ์ในบ้านเราจะไม่เข้มแข็ง แต่ที่พม่าลังกาเข้มแข็ง

..อย่าว่าแต่แข็งกับรัฐบาลของตัวเอง แม้แต่กับศาสนาไหนก็แข็ง...

ในพม่า มีคนบางศาสนารังแกพระเณรหรือคนพุทธ ไม่ช้าเดี๋ยวได้ผลตอบแทนทันตาเห็น 

ในลังกา คนบางศาสนาทำท่าไม่ดีข่มขู่พระพุทธศาสนา พระพาคนมาพังร้านค้าเลย 

...ผมไม่ได้ว่าท่านทำดีหรือชั่ว แต่มองในแง่การป้องกันตัว...ซึ่งอีกฝ่ายก็คงเข้าใจว่า ทำไมพระต้องทำ

มาลังกาครั้งนี้ดีใจที่เห็นลังกามี "ธนาคารพระพุทธศาสนา" 
ซึ่งเรียกว่า "สมบัติแบ็งค์" แต่เมืองไทยตั้งไม่ได้ ....คิดไม่ออกว่าเพราะอะไร ? 

หรือบางที สภาสงฆ์พุทธเถรวาทโลกจะช่วยได้ เพราะพระพม่า พระลังกาอาจจะเข้าไปช่วยคิดและแก้ปัญหาให้ได้...ผมคิดแล้วอุ่นใจ.

อย่าหลงประเด็น! โจมตีคำว่าทำบุญมากเกินไป+++

“ คนพาลเท่านั้น ที่ไม่สรรเสริญการให้ทาน ”
          (พุทธพจน์)

          ปัจจุบันมีบางคนโจมตีคนที่ทำบุญว่าโง่ ทำบุญมากไป เดี๋ยวจะหมดตัว บ้างก็พยายามรณรงค์ให้คนทำบุญน้อยๆ ซึ่งการกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นจากความตระหนี่ในใจเป็นมูลเหตุ ผิดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า


          ปัญหาของสังคมไทยปัจจุบันไม่ใช่อยู่ที่คนทำบุญมากเกินไป แต่อยู่ที่คนใช้จ่ายเงินไปกับอบายมุขมากเกินไป

          ค่าใช้จ่ายเรื่องเหล้า เบียร์ บุหรี่ ของคนไทย ตกปีละ 400,000 ล้านบาท ถ้ารวมยาเสพติดและการพนันด้วย เกินกว่า 1 ล้านล้านบาท / ปี มากกว่าเงินทำบุญประมาณ 10 เท่า

          ซึ่งอบายมุขนอกจากจะทำให้เสียทรัพย์แล้ว ยังเสียสุขภาพ เสียการงาน เกิดปัญหาครอบครัว เป็นบ่อเกิดของอาชญากรรม ปัญหาสังคมนานัปการ

          ถ้าเราสามารถชวนคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมได้มากๆ คนที่เข้าวัด จะลด ละ เลิกอบายมุข และนำส่วนหนึ่งของเงินที่เคยใช้ไปกับอบายมุขมาทำบุญทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และบริจาคช่วยเหลือสังคมในเรื่องต่างๆ แทน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวผู้ทำบุญ ครอบครัว สังคม และเป็นบุญกุศลติดตัวไปในภพเบื้องหน้าด้วย

          ไม่ต้องกลัวว่าคนจะทำบุญสร้างวัดมากไป เพราะวัดใหญ่ๆยังใช้งบก่อสร้างน้อยกว่าโรงงานเหล้า เบียร์ ยาสูบเสียอีก ยิ่งสร้างแล้วมีคนเข้าวัดปฏิบัติธรรมมากๆ ยิ่งคุ้มค่ามาก

          ถ้าเห็นวัดไหนมีเสนาสนะ แต่คนเข้าวัดน้อย ไม่ใช่เป็นเหตุอ้างให้ชวนคนเลิกสร้างวัด แต่ควรช่วยกันรณรงค์ชวนคนเข้าวัดให้มากๆ ให้เต็มโบสถ์ เต็มวิหาร เต็มศาลา ใช้พื้นที่ให้คุ้มประโยชน์

          ผู้ที่คิดจะติเตียนคนทำบุญนั้น เอาเวลาและสติปัญญาไปกระตุ้นเตือนให้คนเลิกอบายมุขดีกว่า

ดังตัวอย่างในครั้งพุทธกาล


          พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชาแคว้นโกศล ได้ถวายอสทิสทาน ด้วยการถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ 500 รูป โดยนิมนต์ท่านนั่งบนมณฑป

มีช้าง 500 เชือก ถือเศวตฉัตรกั้นร่มให้ ช้าง 1 เชือกต่อพระภิกษุ 1 รูป

มีเจ้าหญิง 250 พระองค์ ถือพัดๆให้พระภิกษุ

มีเจ้าหญิง 250 พระองค์ คอยบดของหอมบูชาพระภิกษุ

เศวตฉัตร บัลลังก์สาหรับนั่ง เชิงบาตร และตั่งเช็ดเท้าที่พระราชาทำถวายพระศาสดา เป็นของสูงค่าประมาณไม่ได้

ในทานนี้ พระราชาสละทรัพย์ไป 140 ล้าน ในวันเดียว

          บางคนอาจนึกสงสัยว่าทำไมต้องให้ทานมากขนาดนี้ ถ้าเป็นผู้ที่รู้ค่าของบุญแล้ว จะไม่มีคำว่าทำบุญมากเกินไปเลย พระพุทธเจ้าเมื่อสร้างบารมีอยู่ บางพระชาติถึงขนาดสละเลือดเนื้อของตนไปให้แม่เสือกิน เพื่อป้องกันไม่ให้แม่เสือที่หิวโซกินลูกตัวเอง

อามาตย์ของพระราชาคนหนึ่ง ชื่อ กาฬะ คิดติเตียนพระราชาว่า

“ นี้เป็นไปเพื่อความเสื่อมแห่งราชตระกูล ทรัพย์ถึง 140 ล้าน หมดในวันเดียว

ภิกษุทั้งหลายบริโภคอาหารแล้วก็นอนหลับ มิได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์
ราชตระกูลฉิบหายเสียแล้ว ”

อามาตย์อีกคน ชื่อว่า ชุณหะ คิดสรรเสริญพระราชาว่า
“ ทานของพระราชายิ่งใหญ่ น่าเลื่อมใสจริง คนอื่นทำไม่ได้ เราขออนุโมทนาบุญนั้น ”

พระราชาทรงกริ้วกาฬอามาตย์ตรัสว่า

          “ เราให้ทานมากจริง แต่เราให้ของของเรา มิได้เบียดเบียนอะไรท่านเลยไฉนท่านจึงเดือดร้อนปานนั้น”

          ดังนี้แล้วทรงเนรเทศกาฬอามาตย์ออกจากแคว้น และมอบราชสมบัติให้ชุณหอามาตย์ครอง 7 วัน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

“ คนตระหนี่ไปเทวโลกไม่ได้

คนพาลเท่านั้น ที่ไม่สรรเสริญการให้ทาน

ส่วนนักปราชญ์อนุโมทนาการให้ทาน

จึงเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า

เพราะการอนุโมทนานั้น ”

          เราอย่าประพฤติตนเยี่ยงกาฬอามาตย์ ติเตียนคนที่เขาตั้งใจทำบุญให้ทานเลย เพราะการกระทำอย่างนั้นจะนำมาซึ่งบาปอกุศล ตายแล้วไปสู่อบายภูมิ


          แต่ให้ปฏิบัติตามโอวาทของพระพุทธเจ้า อนุโมทนาชื่นชมผู้ที่ให้ทานกันเถิด เพราะนั่นเป็นทางมาแห่งบุญกุศล นำความสุขความเจริญมาสู่ตัวเองทั้งโลกนี้และโลกหน้า

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

พระพุทธศาสนา สู่ประเทศเดนมาร์ก

ประเทศเดนมาร์ก ได้รับพรจากพระภิกษุ
เมื่อวันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 






นับเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศเดนมาร์ก และพระพุทธศาสนา
ที่สถานีวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศเดนมาร์ก
ได้อาราธนาพระภิกษุจากวัดพระธรรมกายคอร์ซัวร์ ลุสท์สโกว
ไปออกในรายการ Go' Morgen P3

ซึ่งเป็นรายการที่ชาวเดนมาร์กส่วนใหญ่ ได้รับฟังขณะเดินทางไปทำงาน และอยู่ที่บ้าน

เจ้าของรายการได้สนทนา ซักถาม ให้ความสนใจต่อข่าวที่พระภิกษุ
ที่มีส่วนสำคัญในการเป็นขวัญและกำลังใจ ทำให้ทีมฟุตบอลได้เป็น Champions
เหนือสิ่งอื่นใดของชัยชนะ 
นอกจากทีมที่มีสามัคคี เชื่อมั่นในผู้จัดการทีม และผู้เล่นมีวินัยในการฝึกฝนอย่างทุ่มเทแล้ว

สมาธิ คือ คำตอบ ของชัยชนะ

ก่อนจบรายการพระภิกษุได้อำนวยพร ให้ชาวเดนมาร์กทั่วประเทศ
ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม

สามารถติดตามรับฟังได้ที่ : http://www.dhammakaya.dk/dhammakaya-i-dr3.html

นายกฯออสเตรเลีย ออกจดหมายแสดงความสำคัญของการจัดงานวิสาขบูชา.

นายกฯออสเตรเลีย ออกจดหมายแสดงความสำคัญของการจัดงานวิสาขบูชา.





นายบารัค โอบามา ส่งสาส์นเนื่องในวันวิสาขบูชา http://goo.gl/61cNlr

ประวัติและความสำคัญของวันวิสาขบูชา >>> ข้อควรปฏิบัติของชาวพุทธ  http://goo.gl/6j7NOp

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 44 ส่งสาส์นเนื่องในวันวิสาขบูชา

President Obama, Governor Jerry Brown salute Vesak, or “Buddha Day”



ประธานาธิบดี โอบามา และนายเจอรรี่ บราวน์ (ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย) สดุดีเนื่องในวาระวันวิสาขบูชา หรือ "วันแห่งพระพุทธเจ้า"

The message, dated April 29, 2016, reads:



คำสดุดีนี้ลงวันที่  29 เมษายน พ.ศ. 2559  มีเนื้อความว่า...

I send greetings to all those observing Vesak.

ข้าพเจ้าขอกล่าวคำทักทายมายังท่านทั้งหลายที่กำลังจะประกอบพิธีวันวิสาขบูชา

Vesak is a special day for millions of Buddhists to honor the birth, enlightenment, and passing of Buddha.

วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนนับล้านคนทั่วโลก ซึ่งทุกคนจะมาระลึกถึงวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

At temples around the world, Buddhists use this time to engage in prayer and reflect on the virtues of wisdom, courage, and compassion.

ตามวัดต่าง ๆ ทั่วโลก พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจะใช้โอกาสนี้ไปสวดมนต์ ตามระลึกถึงพระปัญญาธิคุณ  ความมีพระหทัยที่หาญกล้า  และพระกรุณาธิคุณของพระองค์

By taking part in these acts of humility, the men, women, and children who uphold the proud traditions of Buddhism contribute to the diversity of cultures and religions that define our common humanity.

เมื่อเหล่าชายหญิงและเด็กได้เข้าร่วมกิจกรรมแห่งการนอบน้อมนี้  พวกเขาก็จะได้ยกย่องเชิดชูขนบธรรมเนียมแห่งพระพุทธศาสนาที่น่าภาคภูมิใจ และเอื้อเฟื้อต่อความหลากหลายทางวัฒนธรรม และศาสนา ซึ่งจะเป็นนิยามแห่งมนุษยธรรมปกติพื้นฐานของพวกเรา

As you come together to mark this occasion, I wish you all the best.

ในวาระที่ท่านทั้งหลายจะได้เข้ามาร่วมกิจกรรมนี้  ข้าพเจ้าขออำนวยพรให้ทุกท่านประสบแต่สิ่งอันประเสริฐสุด

[S
“As far as I know, this is the first time in US history when the President has issued a message saluting this great holiday.” (Bill Aiken said.)



นาย Bill Aiken กล่าวว่า  "เท่าที่ผมทราบ นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้มีคำสดุดีเนื่องในวาระสำคัญ(คือวันวิสาขบูชา)"

############

ที่มา... http://www.lionsroar.com/president-obama-issues-vesak-message/

ภาพประกอบ... เป็นภาพในอดีตที่ครั้งหนึ่ง นายโอบามา เคยร่วมพิธีสรงน้ำพระพุทธรูปเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ที่  the White House


รู้ยังข่าวใหญ่ระดับโลกแล้ว

วันวิสาขบูชาโลก2016 วันของพระพุทธเจ้า ประวัติวันวิสาขบูชา http://goo.gl/6j7NOp
.
นายกฯออสเตรเลียออก จดหมายแสดงความสำคัญการจัดงานวิสาขบูชา.http://goo.gl/XINz4o

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ประวัติวันวิสาขบูชา Visakha Puja (Vesak Day)

วิสาขบูชา Visakha Puja (Vesak Day) วันสำคัญสากลโลก
วันวิสาขบูชา 2559
วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

          ในวาระใกล้ถึงวันวิสาขบูชา ปีนี้เราชาวพุทธ ตามมาดูเลยค่ะ ว่าประวัติวันวิสาขบูชานั้น มีความเป็นมาอย่างไร? มีความสําคัญแค่ไหน? และเราชาวพุทธควรมีข้อปฏิบัติตนในวันวิสาขบูชาอย่างไรบ้างค่ะ 


      
         วันวิสาขบูชา ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือราวเดือนพฤษภาคม แต่หากตรงกับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน วันวิสาขบูชาจะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน




         วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า “วิสาขปุรณมีบูชา” แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ (คือเดือน 6) ซึ่งมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น 3 ประการ ในวันวิสาขบูชา ดังนี้

1. เป็นวันประสูติ นับเป็นวันที่รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นบนผืนโลก  ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันเพ็ญเดือน 6 ตรงกับวันศุกร์ขึ้น 15 ค่ำ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี พระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ"



2. เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มต้นอัสสัตถพฤกษ์ หรือต้นพระศรีมหาโพธิ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา พระมหาบุรุษได้ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ


3. เป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนพุทธศักราช 1 ปี ณ ป่าสาลวัน เมืองกุสินารา



         “เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวงรู้ธรรมทั้งปวง อันตัณหาและทิฏฐิ ไม่ฉาบทาแล้ว ในธรรมทั้งปวงละธรรมเป็นไปในภูมิสามได้หมด พ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึงอ้างใครเล่า อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเราก็ไม่มี บุคคลเสมอเหมือนเราก็ไม่มี ในโลกกับทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นศาสดา หาศาสดาอื่นยิ่งกว่ามิได้ เราผู้เดียวเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เราเป็นผู้เย็นใจ ดับกิเลสได้แล้ว เราจะไปเมืองในแคว้นกาสี เพื่อประกาศธรรมจักรให้เป็นไป เราจะตีกลองประกาศอมตธรรมในโลกอันมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมจักษุ” 

         การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เปรียบเสมือนดวงสุริยาที่ทอแสงให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย

         วันวิสาชบูชา องค์กรสหประชาชาติจัดเป็นวันสำคัญสากลโลก วันวิสาขบูชาหรือ Visakha Puja (Vesak Day) เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ประวัติความเป็นมา 
         การจะพรรณนาพุทธคุณด้วยเวลาอันสั้นนั้น  เปรียบไปแล้วก็เหมือนปริมาณน้ำที่ลอดรูเข็ม เมื่อเทียบกับน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ต่อสัตว์โลกตั้งแต่สมัยที่สร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์  ท่านคิดที่จะตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และก็สั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลาย 

         ทั้งมนุษย์และเทวา ให้ได้บรรลุธรรมตาม เมื่อคิดแล้ว ก็ลงมือทำไปด้วย ตั้งใจสร้างบารมี 30 ทัศน์เรื่อยมา ทั้งทรัพย์ อวัยวะและก็ชีวิต นับครั้งไม่ถ้วน ยาวนานถึง 20 อสงไขยแสนมหากัป จนบารมีของท่านเต็มเปี่ยม ได้มาเสวยทิพยสมบัติอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เป็นท้าวสันดุสิต ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต เพื่อรอเวลาอันควรแล้วจึงได้ลงมาประสูติ 


         เมื่อถึงกาลสมัยอันควรที่จะมาตรัสรู้  เทวดา พรหม อรูปพรหม ทั่วหมื่นโลกธาตุ  ตลอดภพสามก็มาประชุมพร้อมกัน และก็อัญเชิญพระองค์ลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ ซึ่งท่านก็จะตรวจตราดู ปัญจมหาวิโลกนะ คือ ดูทวีป  ประเทศ  อายุขัยของมนุษย์ยุคนั้น ดูตระกูลที่มนุษย์ยกย่องว่าเป็นเลิศในโลก และก็ดูพุทธมารดา ตรวจตราดูแล้วเห็นว่า เป็นการที่เหมาะสมจะได้มาเกิดในชมพูทวีป ในมัชฌิมประเทศ ในยุคที่มนุษย์มีประมาณ 100 ปี  เกิดในขัตติยตระกูล และทรงกำหนดเอาพระนางสิริมหามายาเป็นพุทธมารดา จากนั้นจึงรับอาราธนา และก็อธิษฐานจิตลงมาเกิดในโลกมนุษย์ 

วันประสูติ
         ย้อนไปก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินี ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ และกรุงเทวทหะ พระจันทร์เสวยฤกษ์วิสาขะ ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันนี้  นับเป็นวันที่รูปกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นบนผืนโลก  

         พระนางสิริมหามายาผู้เป็นพุทธมารดา เมื่อทรงตั้งครรภ์ ด้วยความที่พระนางทรงรักษาศีลและฝึกสมาธิ(Meditation)มามาก ทำให้ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ในครรภ์กำลังนั่งขัดสมาธิอย่างชัดเจน เหมือนอย่างกับพระโพธิสัตว์นั่งสมาธิอยู่นอกพระครรภ์ ครั้นถึงคราวพระโพธิสัตว์จะประสูติปรากฏว่า พระพุทธมารดาทรงประทับยืน แทนที่จะนอนเหมือนอย่างกับคนอื่นๆ แล้วพระโพธิสัตว์ประสูติโดยเอาพระบาทออกมาก่อน ประดุจพระธรรมกถึกหย่อนขาขวาลงจากธรรมาสน์ ทันทีที่พระบาทเหยียบถึงพื้น ก็สามารถยืนและเดินได้เลยทันที นับเป็นอัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นได้ยาก

ประสูติในวันวิสาขบูชาเมื่อประสูติแล้วทรงเดินได้เจ็ดก้าวในวันวิสาขบูชา Visakha Puja (Vesak Day)

         เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติและยืนได้ถนัดแล้ว ทรงเปล่งอาสภิวาจาที่ทรงยืนยันถึงวัตถุประสงค์ในการเกิดอย่างชัดเจนว่า  

“เราเป็นผู้เลิศ ผู้เจริญ ผู้ประเสริฐที่สุดในโลก
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ภพใหม่ไม่มีแก่เราอีกแล้ว”   

         ขณะที่พระโพธิสัตว์กำลังประสูตินั้น ได้บังเกิดความสว่างไสวขึ้นในโลกและไกลไปถึงหมื่นโลกธาตุ  บุพนิมิต 32 ประการปรากฏขึ้น  ในหมื่นจักรวาลได้มีแสงสว่างสุดจะประมาณแผ่ซ่านไป  พวกคนตาบอดต่างก็มองเห็นได้ พวกคนหูหนวกก็ได้ยินเสียง พวกคนใบ้ก็พูดได้ พวกคนค่อมก็มีตัวตรงขึ้น คนง่อยเปลี้ยเสียขาก็เดินด้วยเท้าได้  สัตว์ทั้งปวงที่ถูกจองจำก็พ้นจากเครื่องพันธนาการ ไฟในนรกทุกแห่งก็ดับ  ในเปรตวิสัยความหิวกระหายก็สงบระงับ  เหล่าสัตว์เดียรัจฉานก็ไม่มีความกลัวภัย  โรคและไฟกิเลสมีราคะเป็นต้นของสัตว์ทั้งปวงก็สงบระงับ นี่ก็นับเป็นความมหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นได้ยากในโลกแท้

 ทรงออกผนวชและปลงพระเกศา ที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
         ครั้นพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น ก็ศึกษาความรู้จากครูที่มีความรู้อันสูงสุดของแผ่นดิน ท่านใช้เวลาเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น ก็เรียนจนหมดภูมิความรู้ของครูที่อุตสาหศึกษามาตลอดชีวิต  แม้พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและคุณสมบัติ แต่ก็ไม่ประมาทในชีวิต ครั้นได้ทอดพระเนตรเทวทูต คือ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และก็เห็นสมณะ ก็คิดได้ว่า ต้องเลือกชีวิตสมณะ เพราะเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด ที่จะมุ่งไปสู่หนทางพ้นทุกข์  ท่านจึงเสด็จออกผนวชเมื่อได้ 29 พรรษา และได้ทรงม้ากันฐกะ ออกผนวชที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา

วันตรัสรู้ - วันวิสาขบูชา Visakha Puja Vesak Day วันสำคัญสากลของโลก
         หลังจากได้บำเพ็ญเพียรมายาวนานถึง 6 ปี ภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์  ในวันนั้น พระบรมโพธิสัตว์ได้ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ซึ่งแม้สายฟ้าจะผ่าลงตั้ง 100 ครั้งก็ไม่แตกทำลาย โดยทรงอธิษฐาน

“แม้เลือดและเนื้อในกาย จักแห้งเหือดเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้รู้ ได้เห็นธรรมอันยิ่งแล้ว จักไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด จักนั่งอบรมกาย วาจา ใจ ให้ละเอียดถึงที่สุดให้ได้ ” 

         พอพญามารรู้เข้า ก็สะดุ้งพรึบกันทั้งภพทีเดียว ได้เข้ามาสิงบังคับท้าวปรนิมมิตสวัตดี ให้เป็นเทวบุตรมาร แล้วก็พากันยกพลพักมารมาข่มขู่ มาอ้างสิทธิ์ว่า ที่ตรงนี้น่ะ เป็นที่ของพญามาร โดยมีเสนามารพร้อมด้วยพรรคพวกของตัวมาร พระโพธิสัตว์ท่านก็ไม่หวั่นไหว ท่านนั่งทำใจหยุดใจนิ่งอย่างเดียว  ในที่สุดพระองค์ก็สามารถเอาชนะได้ ด้วยอานุภาพแห่งบารมีธรรม ที่สั่งสมมาอย่างดีแล้ว

         พระมหาบุรุษทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ 12 โดยอนุโลมและปฏิโลม หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว 12 ครั้ง จนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด  พระมหาบุรุษได้ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ ในเวลาอรุณขึ้น

 ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองในวันวิสาขบูชา
         เมื่อพระมหาบุรุษทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว โลกันตนรกกว้าง 500 โยชน์ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างด้วยแสงพระอาทิตย์ 7 ดวง ก็ได้มีแสงสว่างไสวเป็นอันเดียวกัน   มหาสมุทรลึก 84,000 โยชน์ ได้กลายเป็นน้ำหวาน  แม่น้ำทั้งหลายหยุดไหล คนบอดแต่กำเนิดก็มองเห็นรูป คนหนวกแต่กำเนิดก็กลับได้ยินเสียง คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดก็เดินได้ กรรมกรณ์ทั้งหลายมีเครื่องจองจำเป็นต้น ได้ขาดหลุดไป !!  พระมหาบุรุษได้รับการบูชาจากเหล่าทวยเทพด้วยสมบัติอันประกอบด้วยสิริหาปริมาณมิได้ ทรงเปล่งอุทานว่า

         “เราเมื่อแสวงหานายช่างคือตัณหา ผู้กระทำเรือนเมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อยการเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว
จิตของเราถึงวิสังขารคือนิพพานแล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว”

         วันวิสาขบูชาเป็นวันประสูติตรัสรู้และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมสั่งสอนชาวโลกให้ได้เห็นธรรม 

         เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเปี่ยมล้น อบรมพร่ำสอนชาวโลกให้ได้รู้และเห็นธรรมตามไปด้วย ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ๔๕ พรรษา พระพุทธองค์ต้องทรงดำเนินด้วยพระบาทเปล่า เสด็จจาริกไปเผยแผ่พระศาสนาตามดินแดนต่างๆ อย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทรงแสดงธรรมประดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือจุดประทีปในมืดเพื่อให้คนมองเห็น  ทำให้มีสรรพสัตว์ได้บรรลุธรรมาภิสมัยเป็นอริยบุคคลมากมายนับไม่ถ้วน จากนั้นจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน
วันวิสาขบูชา

วันปรินิพพาน
         เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา และวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 1 ปี ณ ป่าสาลวัน เมืองกุสินารา วันนี้...เป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน รูปกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อแตกดับลง คงเหลือแต่พระธรรมกาย เสด็จสู่พระนิพพาน  ก่อนจะเสด็จดับขันธ์นั้น ยังทรงมีมหากรุณาประทานปัจฉิมโอวาทแก่พุทธบริษัทว่า

         "สังขารร่างกายของเราไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา 
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาในปัจจุบัน 

         ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยย่อ ซึ่งเป็นต้นแบบอย่างดีให้พวกเราได้ทำตาม พระองค์เป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกจากอดีตมาจนกระทั่งปัจจุบัน  ดังนั้น ในวันเพ็ญเดือนหกของทุกปีหรือวันวิสาขบูชา พุทธบริษัทรวมใจ จุดวิสาขประทีป น้อมถวายเป็นพุทธบูชาในวันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา 




         กิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติใน วันวิสาขบูชา  (Vesak Day or Visakha Puja Day) ได้แก่

         วันวิสาขบูชาเป็นวันที่พวกเราเหล่าพุทธบริษัทควรจะได้ได้ชักชวนชาวโลกให้มาเจริญพุทธานุสติ ระลึกถึงหนทางการสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย หันมาศึกษาหลักธรรมที่ทรงประทานไว้ เป็นดังประทีปธรรมนำทางชีวิตที่ถูกต้องไปสู่สวรรค์นิพพาน เราทั้งหลายจะได้มาร่วมกันนั่งสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายซึ่งเป็นกายแห่งการตรัสรู้ธรรม ทุกท่านควรจะหาโอกาสได้ไปจุดประทีป เดินเวียนประทักษิณรอบพุทธเจดีย์ที่ตนเคารพนับถือเพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ให้ภายนอกได้สว่างด้วยแสงเทียน ภายในสว่างด้วยแสงธรรม

         “พระอาทิตย์ ส่องแสงในเวลากลางวัน พระจันทร์ย่อมส่องแสงในเวลากลางคืน กษัตริย์เมื่อทรงเครื่องรบแล้วย่อมรุ่งเรือง พราหมณ์ผู้มีความเพ่งเพียร ย่อมรุ่งเรือง ส่วนพระพุทธเจ้า ย่อมรุ่งเรืองด้วยเดชตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืนทั้งหมด”

          วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคนเป็นอย่างยิ่ง และเป็นวันที่เราชาวพุทธทุกคนจะได้น้อมรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์  
          อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง 3 ประการ ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่เราจะได้นำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการดำรงชีวิตสืบต่อไป