พระมหาอรรถพล กุลสิทฺโธ ป.ธ.9
วัดพระธรรมกาย
บทความจากหนังสือ บวช..เพื่อให้ชีวิตดี๊ดี
***อดีตท่านได้รับคัดเลือกให้เป็นรองประธานนักเรียน เป็นดรัมเมเยอร์หลายสมัย ตัวแทนของมหาวิทยาลัยในการถือพานของคณะในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ถูกทาบทามเข้าสู่วงการนายแบบ เป็นพิธีกรรายการยอดนิยมของวัยรุ่น สอบติดโควต้าคณะแพทย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ฯลฯ จากโปรไฟล์ชีวิตที่ฉายแววแห่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จ่ออยู่ข้างหน้าขนาดนี้ แต่ท่านกลับสลัดทิ้ง เพื่อเลือกชีวิตที่ “ใช่กว่า” เพราะอะไร ***
มีหลายคนตั้งคำถามว่า ทำไม..ท่านไม่เลือกที่จะเป็นหมอ ? ไม่เลือกที่จะเข้าสู่วงการบันเทิง ? ทั้ง ๆ ที่มีโอกาส ท่านไม่อยากรวยไม่อยากมีชื่อเสียงหรือ ? ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ เป็นที่สุดของความปรารถนาของหลายคนบนโลก
จากชีวิตของพระอาจารย์รูปนี้ “พระมหาอรรถพล กุลสิทฺโธ ป.ธ.9” ก่อนที่จะตัดสินใจมาบวช ท่านก็เป็นนักเรียน นักศึกษาที่ชอบทำกิจกรรมคนหนึ่ง แต่ความโดดเด่นของท่านอยู่ตรงที่มีผลการเรียนดีมาก ได้อยู่ห้องคิง และเรียนจบ ม.6 ร.ร.มหิดลวิทยานุสรณ์ ที่เกรดเฉลี่ยเกือบ 4 ซึ่งทำให้ท่านได้โควต้าหมอ ตั้งแต่ยังไม่สอบเอ็นทรานซ์
มาถึงตรงนี้ หากท่านเลือกเรียนหมอให้จบ ๆ ก็คงไม่มีใครถามอะไร ตรงกันข้ามท่านกลับไม่เลือกที่จะเป็นหมอเหมือนเพื่อนคนอื่น ทั้งที่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ ได้รับการยอมรับสูงและที่สำคัญยังเป็นอาชีพที่มีรายได้มาก จากความคาใจตรงนี้เอง ทำให้ชีวิตของท่านน่าสนใจ ซึ่งเราคงต้องมาฟังคำตอบจากเรื่องราวชีวิตจริงของท่านโดยตรง
“ตอนนั้นอาตมาคิดว่า หากเราเลือกเรียนหมอ เราคงต้องเอาเวลาทั้งชีวิตให้กับการเรียนเลย อีกทั้งต้องเรียนนานถึง 6 ปี แล้วต้องใช้ทุนนานกว่าจะหมด ซึ่งทำให้อาตมาไม่มีเวลามาทำบุญที่วัดและนั่งสมาธิ(Meditation)ได้บ่อย ๆ เหมือนอย่างเคย เพราะครอบครัวอาตมามาวัดเป็นประจำอยู่แล้ว แล้วอีกอย่างโยมพี่ชายแท้ ๆ ของอาตมาก็เป็นหมอให้ครอบครัวไปแล้วคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงตัดสินใจเอ็นทรานซ์ เพื่อให้ได้คณะที่ไม่ดื่มกินเวลาของชีวิตเราไปทั้งหมด ซึ่งอาตมาก็สมหวัง คือ เอ็นฯ ติดคณะเภสัชฯ จุฬา จึงทำให้อาตมามีเวลาและเดินทางมาวัดสะดวกอย่างที่ตั้งใจ อีกทั้งหากเรียนจบคณะนี้ ก็มีอนาคตที่ดีได้เช่นกัน
ช่วงเรียนปี 1 อาตมาก็ตั้งใจเรียนเป็นปกติ แต่ก็ยังเป็นเด็กที่ชอบทำกิจกรรมเหมือนเดิม และก็ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยในการถือพานของคณะในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ จนกระทั่งมีแมวมองมาชักชวนเข้าสู่วงการโดยให้ไปถ่ายโฆษณา แต่อาตมาได้ปฏิเสธไป เพราะคิดว่า แม้วงการนี้จะเป็นทางมาแห่งรายได้และชื่อเสียงก็จริง แต่อาจเป็นดาบสองคมที่ทำให้เราเสียคนได้ง่าย
จนกระทั่งช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน อาตมาได้ตัดสินใจมาบวช ซึ่งขณะบวช ชีวิตก็ไม่สบายเหมือนอยู่ที่บ้าน แต่เรากลับสบายใจ รู้สึกสงบ มีความสุขกับความเรียบง่ายไร้พันธนาการรู้สึกว่า ชีวิตไหนก็ไม่มีอิสระเท่ากับนักบวช เหมือนเราอยู่ในที่แคบ แต่ใจเราจะไปสู่โลกกว้างที่ไม่มีขอบเขตเป็นอิสระ แต่ทางโลกเขาเหมือนอยู่ในโลกกว้าง แต่ใจอึดอัดคับแคบ ที่สำคัญยังได้นั่งสมาธิ ได้เรียนรู้ธรรมะมากมายที่ไม่เคยรู้ รู้สึกเป็นชีวิตที่ไม่ต้องก่อบาป ไม่ต้องเบียดเบียนใคร วัน ๆ คิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้เข้าถึงธรรม คิดแต่ว่า จะช่วยเผยแผ่ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างไร รู้สึกเป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ภูมิใจที่ได้ทำเป้าหมายชีวิตที่แท้จริง คือ การทำพระนิพพานให้แจ้ง แม้เราอาจจะยังไม่สามารถหมดกิเลสและเข้านิพพานในชาตินี้ แต่ก็เป็นต้นทุนให้เราหมดกิเลสได้ง่ายในชาติต่อไป อีกทั้งยังทำให้โยมพ่อโยมแม่และญาติพี่น้องได้บุญไปกับอาตมาด้วย
ช่วงนั้นอาตมามีความสุขกับการบวชมาก จนพอจบโครงการอาตมาไม่อยากลาสิกขาเลย จึงตัดสินใจบอกโยมแม่ว่าจะขอบวชต่อไปเรื่อย ๆ แล้วจะตั้งใจศึกษาพระบาลี ซึ่งโยมแม่ก็อนุญาต และปลื้มใจที่ลูกชายคนหนึ่งของโยมแม่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัยซึ่งเป็นเส้นทางอันบริสุทธิ์บริบูรณ์
แต่พออาตมาไม่ลาสิกขา ก็มีบางคนมาถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ทำไมอาตมาจึงตัดสินใจเช่นนั้น การบวชดีขนาดนั้นเลยหรือ ? อาตมาผิดหวังหรือมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ?
ตรงนี้อาตมาขอตอบว่า อาตมาเคยสัมผัสชีวิตทางโลกมาแล้ว ต่อมาก็มาบวชอยู่ในวัด ทำให้รู้ว่าในวัดเป็นชีวิตที่ใช่ แล้วจะให้อาตมาออกไปหาชีวิตที่ไม่ใช่ที่เคยผ่านมาอีกทำไม ในเมื่อทางโลกในแต่ละวันก็ไม่ทำให้เกิดบุญเท่าไหร่ ไม่เหมือนชีวิตนักบวช ดังนั้นจะถอยหลังไปเริ่มต้นใหม่ทำไม ในเมื่อทางนี้เป็นทางลัดแล้ว ขณะที่ชาวโลกทั่วไปเขากำลังเพลินเพราะความไม่รู้แต่อาตมากำลังเพลินด้วยความรู้ที่พระพุทธเจ้าสอน อีกทั้งสิ่งแวดล้อมทางโลกยังมีแต่ผู้ทุศีล ทำให้เรารักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ยาก หากเราออกไปอยู่ทางโลก เราจะเป็นผู้ทุศีลโดยไม่รู้ตัวส่วนทางธรรม มีระเบียบวินัย มีศีลให้รักษา ซึ่งจะทำให้จิตเราตั้งมั่น และเข้าถึงธรรมได้ง่าย
ชีวิตทางโลกก็เหมือนเราขว้างความสุขไปข้างหน้า คือต้องกดดันตัวเองหาเงินทอง เพื่อหวังที่จะมีความสุขในวันข้างหน้าจนในที่สุดก็ทุกข์จนชินและหมดเวลาของชีวิตไป เหมือนเศรษฐีบางคนบอกว่า แก่แล้วค่อยเข้าวัดปฏิบัติธรรมเพื่อหาความสุขในบั้นปลายชีวิต แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้า เพราะชราจนสภาพร่างกายไม่ไหวแล้วต้องตายเสียก่อน ดังนั้นเราจะรวยที่สุดหล่อที่สุด มีชื่อเสียงที่สุดไปทำไม เพราะถ้าไม่เข้าถึงธรรมก็ไม่มีประโยชน์
อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราก็เช่นกัน พระองค์เป็นถึงกษัตริย์ที่มีความสุขสบาย และมีชีวิตที่เพียบพร้อมสมบูรณ์ในทุกด้าน แต่พระองค์ก็เลือกที่จะออกบวช ครองผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อหาหนทางแห่งการดับทุกข์ หมดกิเลส พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
ฉะนั้น จะเห็นว่าเพศภาวะนักบวชนี้ เป็นเพศสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ในวัฏสงสาร ดังนั้นบุรุษคนใดก็ตาม ได้ตัดสินใจออกบวชด้วยความศรัทธาถือว่าเป็นผู้มีบุญจริง ๆ เพราะหากยังไม่ครองผ้าผืนนี้ ก็ยังต้องเดินทางในวัฏสงสารอีกยาวไกล ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงอยากให้ลองเลือกเส้นทางที่ “ใช่” ด้วยการตัดสินใจมาบวชกัน”
****
เหตุผลที่เรารักวัดพระธรรมกาย
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559
ดาราฮอลีวู้ด ซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกหันมาเป็นชาวพุทธ
ดารานำจาก หนัง Load of the Rings : Orlando Bloom หันมาเป็นชาวพุทธ
"ศาสนาพุทธช่วยผมมาก ทำให้เรียนรู้เรื่องการจัดการกับความวุ่นวายรอบตัวผม แบบพุทธ"
พุทธศาสนา คือหลักยึดเหนี่ยวที่แท้จริง ของ "ออร์แลนโด บลูม"
ศาสนาพุทธ นักแสดงฝรั่งกว่า 16 ปีแล้วที่ ออร์แลนโด บลูม (Orlando Bloom) ซุปเปอร์สตาร์ชาวอังกฤษ วัย 35 ปี ซึ่งโด่งดังจากบทบาท “เลโกลัส” ในภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings ได้เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา เพราะเชื่อว่าหลักปรัชญาของศาสนาพุทธเป็นสิ่งทันสมัย และเป็นหนทางนำไปสู่สันติสุข รวมทั้งได้ช่วยนำพาตัวเขาให้หลุดพ้นจากเส้นทางชีวิตอันเลวร้าย
พระเอกหนุ่มบอกเล่าว่า เขาเคยผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายในชีวิตมาก่อน เป็นต้นว่า ขณะอายุ 13 ปี ได้รู้ความจริงจากมารดาว่า ผู้ชายที่เขาเรียกว่า “พ่อ” มาตลอดนั้น มิใช่บิดาบังเกิดเกล้าที่แท้จริง และได้ประสบอุบัติเหตุหลายต่อหลายครั้ง ทำให้แขนขาหัก หัวแตก จมูกหัก และที่หนักสุดคือ ขณะอายุ 19 ปี เขาตกจากระเบียงบ้านสูง 3 ชั้นจนหลังหัก
และในช่วงอายุ 19 ปีนี้เองที่นำพาชีวิตของเขาเข้าสู่ความเป็นชาวพุทธ บลูมเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้จักพุทธศาสนาว่า “ตอนนั้นผมกำลังเรียนอยู่ และต้องจัดนิทรรศการศิลปะ เพื่อสอบวิชาประติมากรรม ซึ่งผมยังวาดภาพและระบายสีได้ไม่ดี เพื่อนของผม ชื่อเดวิด ได้พูดถึงหลักปรัชญาของพุทธศาสนาและสวดมนต์ ผมนั่งดูเขาปฏิบัติ และหลังจากนั้น ผมก็สามารถวาดภาพและระบายสีได้ดีอย่างเหลือเชื่อ ในที่สุด ผมจึงเริ่มน้อมนำพุทธศาสนาเข้ามาในชีวิต”
ตั้งแต่นั้นมาซุปเปอร์สตาร์หนุ่มจึงได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมโซคา งักไก สากล (Soka Gakkai International) ซึ่งมีรากฐานมาจากนิกายนิชิเรน โชชู หนึ่งในนิกายพุทธฝ่ายมหายานที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
เมื่อปี 1997 ปลูมได้เริ่มก้าวเข้าสู่โลกมายาของฮอลลีวูด โดยอีก 2 ปีต่อมาเขาได้รับเลือกให้รับบทเด่นเป็น “เลโกลัส” ในภาพยนต์เรื่อง The Lord of the Rings ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้เขาโด่งดัง กลายเป็นดาราดังระดับโลกในทันที
และมีผลงานการแสดงภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ตามมาอีกหลายเรื่องอาทิ Black Hawk Down, Pirates of the Caribbean, Troy, Kingdom of Heaven และ The Three Musketeers และได้รับรางวัลหลายครั้งจากงานประกวดภาพยนตร์
การที่ชายหนุ่มวัย 20 ต้นๆ ต้องรับมือกับความมีชื่อเสียงระดับโลก เป็นเรื่องที่กลายมาเป็นความกดดันลึกๆในใจ แต่พระเอกหนุ่มก็ผ่านพ้นความรู้สึกนั้นมาได้ ด้วยหลักคิดทางธรรม บลูมเล่าให้นักข่าวฟังว่า “ตอนที่ผมอายุ 22 ปีขณะแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings ไม่มีใครบอกคุณหรอกว่า การเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นอย่างไร เพราะมันไม่มีอยู่ในคู่มือ หรือเมื่อผมอายุเกือบ 27 ปี บริษัทสร้างภาพยนตร์ฟอกซ์ไฟเขียวสร้างหนังที่ใช้งบเกือบ 5,000 ล้านบาทให้แสดงนำ ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ผมมีความอดทนและเชื่อมั่นในเส้นทางชีวิต ชีวิตจะคลี่คลายไปตามทางของมันเอง ถ้าคุณซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ทำดีที่สุด ก็ไม่ต้องห่วงว่าอะไรจะเกิดตามมา” นักข่าวได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณพูดเหมือนเป็นชาวพุทธเลยนะ” พระเอกหนุ่มยิ้มพยักหน้ารับ พร้อมกับตอบว่า “ใช่..ผมนับถือศาสนาพุทธ”
เมื่อหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ในอังกฤษทราบเรื่องนี้ ต่างพากันวิจารณ์ว่า พระเอกหนุ่มเป็นพวกคลั่งลัทธิ ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่เขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะสำหรับเขาแล้ว พุทธศาสนาคือวิถีการดำเนินชีวิต เป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการกับปัญหาและความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิต
บลูมบอกว่า “หลักปรัชญาที่ผมน้อมนำมาใช้ในชีวิต ไม่ใช่เป็นการนั่งใต้ต้นไม้และเพ่งความสนใจไปที่ท้อง แต่เป็นการวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และใช้มันเป็นเสมือนเชื้อเพลิงเพื่อมุ่งไปข้างหน้าและทำชีวิตให้ดีขึ้น ยามที่แฟนสาวทิ้งคุณไป..บิลค่าใช้จ่ายกองอยู่บนโต๊ะ..และคนในครอบครัวโทรมาปรับทุกข์ถึงเรื่องร้ายๆในชีวิตของพวกเขา สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนนรกเลยทีเดียว
ทว่า นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต หากคุณตระหนักรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น คุณสามารถเรียนรู้ที่จะใช้ความล้มเหลว ความกลัวที่เกิดขึ้น กระตุ้นให้คุณเดินหน้าทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาศาสนาพุทธคือหลักยึดเหนี่ยวที่แท้จริงสำหรับตัวผม แม้ผมจะเติบโตมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์และเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ความศรัทธาในพุทธศาสนาที่ผมค้นพบนี้ ซึ่งอาจดูเป็นเรื่องสับสนของคนทั่วๆไป ได้ทำให้เราเข้าถึงตัวตนของเราเองเพื่อดำเนินชีวิตและเป็นคนดี”
เมื่อนักข่าวถามว่า “ศาสนาพุทธเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้คุณได้อย่างไร?” พระเอกดังแห่งฮอลลีวูดได้ตอบว่า “การจะเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น คุณต้องโฟกัสเรื่องการใช้ชีวิต ทำดีต่อคนที่อยู่รอบๆตัว และใส่ใจทุกชีวิต” และบลูมยังได้ตอบคำถามถึงการเดินทางด้านจิตวิญญาณของเขาว่า “ผมคิดว่า ชีวิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษยธรรม ถ้าไม่เช่นนี้แล้ว ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับอะไร มันเป็นเรื่องการเคารพความเป็นมนุษย์ทุกชีวิต โดยไม่คำนึงว่า คุณเป็นใคร นับถือศาสนาอะไร มีสีผิวใด”
นอกจากมีศรัทธาในพุทธศาสนาแล้ว บลูมยังสนใจด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “โกลบอล กรีน” ซึ่งเป็นองค์กรที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ต้นยุคปี 2000 อีกทั้งได้ดัดแปลงบ้านพักในลอนดอนให้เป็นบ้านประหยัดพลังงาน ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ใช้วัสดุที่ทำมาจากการรีไซเคิล และใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน
ปี 2004 ออร์แลนโด บลูม ในวัย 27 ปี ได้เข้าร่วมในพิธีปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับพุทธมามกะใหม่อีก 60 คน ณ ศูนย์โซคา งักไก สากล ในมณฑลเบิร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ โดยผู้พบเห็นกล่าวว่า
เขาดูมีความสุขมาก มีท่าทีผ่อนคลายและตื่นเต้นเล็กน้อย พระเอกหนุ่มได้รับมอบคัมภีร์ที่มีข้อความภาษาจีนและสันสกฤตจากผู้อำนวยการศูนย์ฯ ซึ่งเขาได้นำไปวางไว้บนแท่นบูชาที่บ้าน เพื่อสักการะ โดยจะสวดมนต์ “นัม เมียวโฮ เร็งเง เคียว” ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง พร้อมอ่านและสวดคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตร 2 บท
แม้พระเอกคนดังจะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องความเชื่อทางศาสนาบ่อยนัก แต่บ่อยครั้งมีคนเห็นเขาสวมสร้อยประคำ หรือมีสร้อยประคำในมือ
ที่มา นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 137 พฤษภาคม 2555 โดย บุญสิตา
www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9550000061195
#พระพุทธศาสนา
"ศาสนาพุทธช่วยผมมาก ทำให้เรียนรู้เรื่องการจัดการกับความวุ่นวายรอบตัวผม แบบพุทธ"
พุทธศาสนา คือหลักยึดเหนี่ยวที่แท้จริง ของ "ออร์แลนโด บลูม"
ศาสนาพุทธ นักแสดงฝรั่งกว่า 16 ปีแล้วที่ ออร์แลนโด บลูม (Orlando Bloom) ซุปเปอร์สตาร์ชาวอังกฤษ วัย 35 ปี ซึ่งโด่งดังจากบทบาท “เลโกลัส” ในภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings ได้เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา เพราะเชื่อว่าหลักปรัชญาของศาสนาพุทธเป็นสิ่งทันสมัย และเป็นหนทางนำไปสู่สันติสุข รวมทั้งได้ช่วยนำพาตัวเขาให้หลุดพ้นจากเส้นทางชีวิตอันเลวร้าย
พระเอกหนุ่มบอกเล่าว่า เขาเคยผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายในชีวิตมาก่อน เป็นต้นว่า ขณะอายุ 13 ปี ได้รู้ความจริงจากมารดาว่า ผู้ชายที่เขาเรียกว่า “พ่อ” มาตลอดนั้น มิใช่บิดาบังเกิดเกล้าที่แท้จริง และได้ประสบอุบัติเหตุหลายต่อหลายครั้ง ทำให้แขนขาหัก หัวแตก จมูกหัก และที่หนักสุดคือ ขณะอายุ 19 ปี เขาตกจากระเบียงบ้านสูง 3 ชั้นจนหลังหัก
และในช่วงอายุ 19 ปีนี้เองที่นำพาชีวิตของเขาเข้าสู่ความเป็นชาวพุทธ บลูมเล่าถึงจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้จักพุทธศาสนาว่า “ตอนนั้นผมกำลังเรียนอยู่ และต้องจัดนิทรรศการศิลปะ เพื่อสอบวิชาประติมากรรม ซึ่งผมยังวาดภาพและระบายสีได้ไม่ดี เพื่อนของผม ชื่อเดวิด ได้พูดถึงหลักปรัชญาของพุทธศาสนาและสวดมนต์ ผมนั่งดูเขาปฏิบัติ และหลังจากนั้น ผมก็สามารถวาดภาพและระบายสีได้ดีอย่างเหลือเชื่อ ในที่สุด ผมจึงเริ่มน้อมนำพุทธศาสนาเข้ามาในชีวิต”
ตั้งแต่นั้นมาซุปเปอร์สตาร์หนุ่มจึงได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมโซคา งักไก สากล (Soka Gakkai International) ซึ่งมีรากฐานมาจากนิกายนิชิเรน โชชู หนึ่งในนิกายพุทธฝ่ายมหายานที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น
เมื่อปี 1997 ปลูมได้เริ่มก้าวเข้าสู่โลกมายาของฮอลลีวูด โดยอีก 2 ปีต่อมาเขาได้รับเลือกให้รับบทเด่นเป็น “เลโกลัส” ในภาพยนต์เรื่อง The Lord of the Rings ซึ่งสร้างชื่อเสียงให้เขาโด่งดัง กลายเป็นดาราดังระดับโลกในทันที
และมีผลงานการแสดงภาพยนต์ฟอร์มยักษ์ตามมาอีกหลายเรื่องอาทิ Black Hawk Down, Pirates of the Caribbean, Troy, Kingdom of Heaven และ The Three Musketeers และได้รับรางวัลหลายครั้งจากงานประกวดภาพยนตร์
การที่ชายหนุ่มวัย 20 ต้นๆ ต้องรับมือกับความมีชื่อเสียงระดับโลก เป็นเรื่องที่กลายมาเป็นความกดดันลึกๆในใจ แต่พระเอกหนุ่มก็ผ่านพ้นความรู้สึกนั้นมาได้ ด้วยหลักคิดทางธรรม บลูมเล่าให้นักข่าวฟังว่า “ตอนที่ผมอายุ 22 ปีขณะแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings ไม่มีใครบอกคุณหรอกว่า การเป็นคนมีชื่อเสียงเป็นอย่างไร เพราะมันไม่มีอยู่ในคู่มือ หรือเมื่อผมอายุเกือบ 27 ปี บริษัทสร้างภาพยนตร์ฟอกซ์ไฟเขียวสร้างหนังที่ใช้งบเกือบ 5,000 ล้านบาทให้แสดงนำ ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
ผมมีความอดทนและเชื่อมั่นในเส้นทางชีวิต ชีวิตจะคลี่คลายไปตามทางของมันเอง ถ้าคุณซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ทำดีที่สุด ก็ไม่ต้องห่วงว่าอะไรจะเกิดตามมา” นักข่าวได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณพูดเหมือนเป็นชาวพุทธเลยนะ” พระเอกหนุ่มยิ้มพยักหน้ารับ พร้อมกับตอบว่า “ใช่..ผมนับถือศาสนาพุทธ”
เมื่อหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ในอังกฤษทราบเรื่องนี้ ต่างพากันวิจารณ์ว่า พระเอกหนุ่มเป็นพวกคลั่งลัทธิ ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่เขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะสำหรับเขาแล้ว พุทธศาสนาคือวิถีการดำเนินชีวิต เป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการกับปัญหาและความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิต
บลูมบอกว่า “หลักปรัชญาที่ผมน้อมนำมาใช้ในชีวิต ไม่ใช่เป็นการนั่งใต้ต้นไม้และเพ่งความสนใจไปที่ท้อง แต่เป็นการวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และใช้มันเป็นเสมือนเชื้อเพลิงเพื่อมุ่งไปข้างหน้าและทำชีวิตให้ดีขึ้น ยามที่แฟนสาวทิ้งคุณไป..บิลค่าใช้จ่ายกองอยู่บนโต๊ะ..และคนในครอบครัวโทรมาปรับทุกข์ถึงเรื่องร้ายๆในชีวิตของพวกเขา สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนนรกเลยทีเดียว
ทว่า นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต หากคุณตระหนักรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น คุณสามารถเรียนรู้ที่จะใช้ความล้มเหลว ความกลัวที่เกิดขึ้น กระตุ้นให้คุณเดินหน้าทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาศาสนาพุทธคือหลักยึดเหนี่ยวที่แท้จริงสำหรับตัวผม แม้ผมจะเติบโตมาในครอบครัวที่นับถือศาสนาคริสต์และเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ความศรัทธาในพุทธศาสนาที่ผมค้นพบนี้ ซึ่งอาจดูเป็นเรื่องสับสนของคนทั่วๆไป ได้ทำให้เราเข้าถึงตัวตนของเราเองเพื่อดำเนินชีวิตและเป็นคนดี”
เมื่อนักข่าวถามว่า “ศาสนาพุทธเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้คุณได้อย่างไร?” พระเอกดังแห่งฮอลลีวูดได้ตอบว่า “การจะเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น คุณต้องโฟกัสเรื่องการใช้ชีวิต ทำดีต่อคนที่อยู่รอบๆตัว และใส่ใจทุกชีวิต” และบลูมยังได้ตอบคำถามถึงการเดินทางด้านจิตวิญญาณของเขาว่า “ผมคิดว่า ชีวิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับมนุษยธรรม ถ้าไม่เช่นนี้แล้ว ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกับอะไร มันเป็นเรื่องการเคารพความเป็นมนุษย์ทุกชีวิต โดยไม่คำนึงว่า คุณเป็นใคร นับถือศาสนาอะไร มีสีผิวใด”
นอกจากมีศรัทธาในพุทธศาสนาแล้ว บลูมยังสนใจด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “โกลบอล กรีน” ซึ่งเป็นองค์กรที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ต้นยุคปี 2000 อีกทั้งได้ดัดแปลงบ้านพักในลอนดอนให้เป็นบ้านประหยัดพลังงาน ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ใช้วัสดุที่ทำมาจากการรีไซเคิล และใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน
ปี 2004 ออร์แลนโด บลูม ในวัย 27 ปี ได้เข้าร่วมในพิธีปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับพุทธมามกะใหม่อีก 60 คน ณ ศูนย์โซคา งักไก สากล ในมณฑลเบิร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ โดยผู้พบเห็นกล่าวว่า
เขาดูมีความสุขมาก มีท่าทีผ่อนคลายและตื่นเต้นเล็กน้อย พระเอกหนุ่มได้รับมอบคัมภีร์ที่มีข้อความภาษาจีนและสันสกฤตจากผู้อำนวยการศูนย์ฯ ซึ่งเขาได้นำไปวางไว้บนแท่นบูชาที่บ้าน เพื่อสักการะ โดยจะสวดมนต์ “นัม เมียวโฮ เร็งเง เคียว” ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง พร้อมอ่านและสวดคัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตร 2 บท
แม้พระเอกคนดังจะไม่ค่อยพูดถึงเรื่องความเชื่อทางศาสนาบ่อยนัก แต่บ่อยครั้งมีคนเห็นเขาสวมสร้อยประคำ หรือมีสร้อยประคำในมือ
ที่มา นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 137 พฤษภาคม 2555 โดย บุญสิตา
www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9550000061195
#พระพุทธศาสนา
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559
ชีวิตที่สุขสงบ!! ในร่มเงาของพระพุทธศาสนา
นายพลเต็ง เส่ง อดีตประธานาธิบดีพม่า
บวชเป็นพระหลังพ้นตำแหน่ง ปธน.พม่า นายพลเต็ง เส่ง ไม่มีความละโมบ ไม่ก้าวร้าว หยาบคาย หรือต่ำทราม ถือเป็นผู้ที่เสียสละอย่างแท้จริง !
พลเอกเต็ง เส่ง อายุ 71 ปี ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ที่เมืองเมย์เมี่ยว Maymyo มัณฑะเลย์ ล่าสุดเมื่อเวลา 8.00 น. วันที่ 4 เม.ย.อดีตประธานาธิบดีเต็งเส่ง ได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองปยินอูละหวิ่น เมืองภูเขาสูงในภาคมัณฑะเลย์ติดต่อกับรัฐฉานของพม่า โดยมีพระภัททันตะ นันทะมาลาภิวังสะ Ashin Nandamãlãbhivamsa เป็นพระอุปัชฌาย์
สิ่งที่นายพลเต็ง เส่ง ทำเพื่อพม่าคือการตัดสินใจเปิดประเทศทุกอย่างก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ !
นักวิชาการต่างชาติวิเคราะห์ว่าเพราะ "เต็ง เส่ง" ต้องหาทางลงจากหลังเสือหากยังครองอำนาจอยู่อาจถูกโค่นล้มโดยประชาชน หรือทหารด้วยกันการลงจากอำนาจ ด้วยการคืนอำนาจให้ประชาชนปลอดภัยที่สุด
นักวิชาการพม่า ยืนยันว่า "เต็ง เส่ง" ต้องการเห็นคนพม่า มีความอยู่ดีกินดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ หลังลำบาก ยากจนมานาน และต้องการให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ รวมถึงอยากให้ความขัดแย้งในประเทศลดลง เขาเริ่มให้สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนมากขึ้นยอมเจรจาสงบศึกกับชนกลุ่มน้อย ปล่อยตัวนักโทษการเมืองจนไม่หลงเหลืออยู่ในคุกแม้แต่คนเดียว
ที่เขามีจิตใจเสียสละได้ขนาดนี้เพราะเส้นทางชีวิต "เต็ง เส่ง" เกิดในครอบครัวยากจน ในหมู่บ้านเล็กๆแถบลุ่มน้ำ อิรวดี เป็นบุตรของ "หม่องผยอ" ชาวนายากจน เป็นคนงาน ขนของในท่าเทียบเรือ
และมีอาชีพสานเสื่อไม้ไผ่ หลังจากแม่ เสียชีวิตพ่อก็ไปบวช
"เต็ง เส่ง" ในวัยเด็ก ต้องดิ้นรนสู้ชีวิตมาด้วยความยากลำบากแม้แต่การก้าวสู่อำนาจก็เป็นไปอย่างช้าๆ
ไม่เคยมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับใคร ตลอดสี่ทศวรรษในเส้นทางราชการทหารมีคนบอกว่า บุคลิกของเขาเป็นคนไม่มีพิษ มีภัย น่าเชื่อถือ เมื่อย้อนดูปูมหลังของเขาแล้ว น่าเชื่อว่า เขาทำเพราะอยากเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านดีขึ้น ประเทศมีโอกาสพัฒนาจนนักวิชาการต่างชาติเปรียบเขาเป็น "เติ้ง เสี่ยว ผิง แห่งพม่า"
ต่างกันที่ "เต็ง เส่ง" เปิดประตูทั้ง "การเมืองและเศรษฐกิจ" พร้อมๆ กัน นายพล เต็ง เส่ง ได้สร้างให้เศรษฐกิจพม่า กลับมาแข็งแกร่งและสร้างความหวังใหม่ๆ ให้กับพม่ากลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งด้วยจิตใจที่เสียสละอย่างแท้จริงในการคืนสิทธิเสรีภาพ และคืนอำนาจให้กับประชาชน
บวชเป็นพระหลังพ้นตำแหน่ง ปธน.พม่า นายพลเต็ง เส่ง ไม่มีความละโมบ ไม่ก้าวร้าว หยาบคาย หรือต่ำทราม ถือเป็นผู้ที่เสียสละอย่างแท้จริง !
พลเอกเต็ง เส่ง อายุ 71 ปี ได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ที่เมืองเมย์เมี่ยว Maymyo มัณฑะเลย์ ล่าสุดเมื่อเวลา 8.00 น. วันที่ 4 เม.ย.อดีตประธานาธิบดีเต็งเส่ง ได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองปยินอูละหวิ่น เมืองภูเขาสูงในภาคมัณฑะเลย์ติดต่อกับรัฐฉานของพม่า โดยมีพระภัททันตะ นันทะมาลาภิวังสะ Ashin Nandamãlãbhivamsa เป็นพระอุปัชฌาย์
สิ่งที่นายพลเต็ง เส่ง ทำเพื่อพม่าคือการตัดสินใจเปิดประเทศทุกอย่างก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ !
นักวิชาการต่างชาติวิเคราะห์ว่าเพราะ "เต็ง เส่ง" ต้องหาทางลงจากหลังเสือหากยังครองอำนาจอยู่อาจถูกโค่นล้มโดยประชาชน หรือทหารด้วยกันการลงจากอำนาจ ด้วยการคืนอำนาจให้ประชาชนปลอดภัยที่สุด
นักวิชาการพม่า ยืนยันว่า "เต็ง เส่ง" ต้องการเห็นคนพม่า มีความอยู่ดีกินดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ หลังลำบาก ยากจนมานาน และต้องการให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ รวมถึงอยากให้ความขัดแย้งในประเทศลดลง เขาเริ่มให้สิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนมากขึ้นยอมเจรจาสงบศึกกับชนกลุ่มน้อย ปล่อยตัวนักโทษการเมืองจนไม่หลงเหลืออยู่ในคุกแม้แต่คนเดียว
ที่เขามีจิตใจเสียสละได้ขนาดนี้เพราะเส้นทางชีวิต "เต็ง เส่ง" เกิดในครอบครัวยากจน ในหมู่บ้านเล็กๆแถบลุ่มน้ำ อิรวดี เป็นบุตรของ "หม่องผยอ" ชาวนายากจน เป็นคนงาน ขนของในท่าเทียบเรือ
และมีอาชีพสานเสื่อไม้ไผ่ หลังจากแม่ เสียชีวิตพ่อก็ไปบวช
"เต็ง เส่ง" ในวัยเด็ก ต้องดิ้นรนสู้ชีวิตมาด้วยความยากลำบากแม้แต่การก้าวสู่อำนาจก็เป็นไปอย่างช้าๆ
ไม่เคยมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับใคร ตลอดสี่ทศวรรษในเส้นทางราชการทหารมีคนบอกว่า บุคลิกของเขาเป็นคนไม่มีพิษ มีภัย น่าเชื่อถือ เมื่อย้อนดูปูมหลังของเขาแล้ว น่าเชื่อว่า เขาทำเพราะอยากเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านดีขึ้น ประเทศมีโอกาสพัฒนาจนนักวิชาการต่างชาติเปรียบเขาเป็น "เติ้ง เสี่ยว ผิง แห่งพม่า"
ต่างกันที่ "เต็ง เส่ง" เปิดประตูทั้ง "การเมืองและเศรษฐกิจ" พร้อมๆ กัน นายพล เต็ง เส่ง ได้สร้างให้เศรษฐกิจพม่า กลับมาแข็งแกร่งและสร้างความหวังใหม่ๆ ให้กับพม่ากลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งด้วยจิตใจที่เสียสละอย่างแท้จริงในการคืนสิทธิเสรีภาพ และคืนอำนาจให้กับประชาชน