วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตลอดชีวิตกับการต่อสู้ทางสังคม "สิทธิมนุษยชน" และพระพุทธศาสนา !!

การต่อสู้เพื่อศาสนา สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

ดร. บาบาสาเหบ อัมเบดการ์ (Babasaheb Ambedgar) มีบทบาทสำคัญยิ่งในการเป็นผู้นำชาวฮินดู กว่า 6 แสนคน ให้เปลี่ยนมานับถือพระรัตนตรัยและรับศีลห้า 

ดร.เอมเบดการ์
ดร.เอมเบดการ์ (Dr.B.R. Ambedkar) เกิดเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2434 

ดร.เอมเบดการ์ เป็นนักคิด นักการเมือง นักสิทธิมนุษยชน และรัฐบุรุษของอินเดียอีกท่านหนึ่ง 

เป็นผู้มีชีวิตต่อสู้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านมหาตม คานธี

ท่านมหาตม คานธี

  ดร.เอมเบดการ์ กำเนิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อ “อัมพาวดี อ.รัตนคีรี รัฐมหาราษฎร์ (บอมเบย์) อินเดีย มีชีวิตต้องต่อสู้มาตลอด !

  ต่อสู้กับการเหยียดหยาบของสังคม ต่อสู้เพื่อเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย จนกระทั้งสู้เพื่อยกฐานะของหมู่ชนจัณฑาลให้มีสถานภาพเทียมบ่าเทียมไหล่กับบุคคลในวรรณอื่นในประเทศของตนที่สังคมยอมรับ


  ดร.เอมเบดการ์ เป็นนักปรัชญาและรัฐบุรุษของอินเดีย ซึ่งมีแนวความคิดแบบอหิงสา เช่นเดียวกับท่านมหาตมคานธี

  ท่านเป็นผู้ที่เข้าใจในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี ท่านได้ต่อสู้เพื่อศาสนา สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของบุคคลในวรรณะจัณฑาล จนสำเร็จ

 ท่านได้ยกย่องพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาที่ "สร้างสันติภาพให้แก่โลก"

  เพราะมีหลักแห่งความเสมอภาค ภราดรภาพ พระพุทธศาสนาตีค่าของมนุษย์เสมอเหมือนกัน ชาติ ตระกูล ยศศักดิ์ ไม่ก่อให้เกิดเอกสิทธิ์หรืออภิสิทธิ์แต่อย่างใด พระพุทธศาสนาถือความประพฤติเป็นสำคัญ ผู้มีความประพฤติดี แม้เทวดาก็ยังต้องกราบไหว้ ขอให้ดูพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง

  ได้เป็นที่พยายามที่จะยกระบบทางสังคมของอินเดีย โดยเฉพาะเรื่องชนชั้นให้เจริญกว่าเดิม 


   จึงได้ประกาศที่จะลบล้างลัทธิการถือชั้นวรรณะ ให้หมดไปจาก ชาวอินเดีย 

   และได้เล็งเห็นว่าไม่มีอะไรที่จะดียิ่งไปกว่าหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา ที่จะสามารถลบล้างระบบการถือชั้นวรรณะนี้ให้หมดไปจากชาวอินเดียได้ 

   จึงได้ตัดสินใจปฏิญาณตนเป็นพุทธศาสนิกชน เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๙ ที่เมืองนาคปูระ แคว้นบอมเบย์ พร้อมด้วยชาวศูทร จำนวนห้าแสนคน นับว่าเป็นพิธีหรือเหตุการณ์ที่ควรจะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา


 ฯพณฯ ท่านเนรูห์ นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย ได้กล่าวไว้อาลัย ดร.เอมเบดการ์

“ชื่อเอมเบดการ์ จะต้องถูกจดจำต่อไปอีกชั่วกาลนาน โดยเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อลบล้างความยุติธรรมในสังคมฮินดู เอมเบดการ์ต่อสู้กับสิ่งที่ทุกคนเห็นว่าเป็นสิ่งที่จำต้องต่อสู้ เอมเบดการ์ ได้เป็นคนปลุกให้สังคมฮินดูตื่นจากหลับ”

  ชีวิตของ ดร.เอมเบดการ์ ดุจดอกบัวที่เกิดจากโคลนตมแต่สีและกลิ่นวิเศษ ยิ่งนัก ผิดจากสีและกลิ่นของโคลนตม ดอกบัวเป็นดอกไม้สำหรับบูชาพระรัตนตรัย

   ดร. บาบาสาเหบ อัมเบดการ์ (Babasaheb Ambedgar) มีบทบาทสำคัญยิ่งในการเป็นผู้นำชาวฮินดู วรรณะจัณฑาลกว่า 6 แสนคน ให้เปลี่ยนมานับถือพระรัตนตรัยและรับศีลห้า เมื่อวันที่ 14 เดือนตุลาคม ปีค.ศ. 1956 ณ เมืองนาคปูร์ 

   กลายเป็นเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เพราะถือเป็นการปลดแอกระบบวรรณะที่เป็นความอยุติธรรมทางสังคมของอินเดีย

  ล่าสุดเมื่อวันที่15 มีนาคม 2559 ชาวฮินดูซึ่งมาจากวรรณะชั้นล่าง กว่า 300 คน ทำพิธีเปลี่ยนมารับนับถือพระพุทธศาสนา ณ พุทธคยา พุทธสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธในรัฐพิหาร 



    ชาวฮินดูที่เปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาทั้งหมดนี้ มาจากเขตเอารังคาบาท และชะหานาบาท ในรัฐพิหาร บางส่วนมาจากเมืองนาคปูร์ และเมืองสาตารา ในรัฐมหาราษฎร์ รวมถึงเมืองชะบัลปูร์ และเมืองเรวา ในรัฐมัธยะประเทศ

   พิธีดังกล่าวจัดขึ้น ณ วิหารของวัดพม่าภายในพุทธคยา โดยมีพระจันทรมุนี ชาวพม่า นำประกอบพิธีทีกฺษา (Deeksha; दीक्षा) หรือพิธี "บวชเป็นชาวพุทธ" (ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ) ตามแบบอย่างของ ดร. บาอัมเบดการ์ 

   ผู้คนส่วนใหญ่ที่หันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นต่างกล่าวว่า "พวกเขาต้องการเปลี่ยนศาสนาเพื่อกำจัดการกีดกันทางชนชั้นและการถูกมองว่าเป็นวรรณะชั้นต่ำ"

   การเปลี่ยนมาเป็นชาวพุทธในอินเดียนั้น ยังคงมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ อย่างเมื่อต้นปี 2015 ที่ผ่านมา ก็มีชาวฮินดูราว 1,700 คนมาร่วมประกอบพิธีเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาที่พุทธคยา แคว้นพิหารเช่นกัน

  แม้การเปลี่ยนความเชื่อนี้ โดยหลักจะมาจากแรงกดดันทางชั้นวรรณะ แต่อย่างไรก็ดี การตัดสินใจเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก และถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีต่อตนเอง ครอบครัว และลูกหลานที่จะเป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์ในภายภาคเบื้องหน้า

แหล่งข่าว:
http://www.daijiworld.com/news/news_disp.asp?n_id=385176
ภาพ: พิธีรับพระพุทธศาสนาในปีก่อนๆ (เนื่องจากแหล่งข่าวไม่ได้มีภาพมาด้วย)
แปลและเรียบเรียง: ทิพย์ปัญญา 释聖達 @Wat_Benelux
และขอขอบคุณข้อมูลจากเวปไซต์พันทิป

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2559

อัตตา-อนัตตา ความเห็นที่แตกต่าง

เรื่องอัตตา-อนัตตา เค้ามีความเห็นแตกต่างกันมานานแล้ว เถียงกันไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ถ้าไม่ลงมือปฏิบัติ ให้รู้จริงเห็นจริง นิพพานอัตตา หรือ อนันตา (ในทัศนะของครูบาอาจารย์แต่ละท่าน)

พระนิพพาน จากคำครูอาจารย์

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก www.kammatan.com/ariya/nirvanadham.php

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2559

จริงหรือที่เธอผินจาก อิสลามสู่ร่มพุทธบริษัท

อาจารย์ ดาราวรรณ ท่านนี้ประวัติท่านเป็นคนมุสลิมที่เคร่งศาสนามาก 

ร่ำเรียนศาสนามาจนถึงขั้นเป็นครูสอนศาสนาอิสลามระดับสูง แต่เพราะความทุกข์ท่านจึงหันมาสนใจดับทุกข์ตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไปศึกษาธรรมะกับหลวงพ่อพุธ วัดป่าสารวันหลวงปู่ขาววัดถ้ำกลองเพล หลวงปู่ดู่วัดสะแกจังหวัดอยุธยาและ อีกหลายครูบาอาจารย์มาก 

ตอนนี้ท่านสอนอยู่ที่นครราชสีมา มีมุสลิมจำนวนมากที่มาศึกษาปฏิบัติธรรมกับท่าน ขอกราบอนุโมทนาสาธุกับการที่ท่านมีดวงตาเห็นธรรมด้วย สาธุๆๆๆ ดูกันให้ได้นะคะ แด่ท่านที่ใฝ่ในธรรมทั้งหลาย เรื่องสติ ปัญญา และการสร้างบุญหนีกรรม

โดย ดร.ดาราวรรณ เด่นอุดม  ลูกศิษย์หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
สัมภาษณ์โดยไตรภพ ที่เก่งทั้งคนถาม คนตอบ 
https://youtu.be/KtK_iojLASI
(อยากให้ทุกท่านได้ฟังได้ดูด้วยความตั้งใจอย่างจริงๆ)
https://youtu.be/K82fSbCjibo (สัมภาษณ์ยาว)

ผลกรรมของบุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย

ผลกรรมของบุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย

บุคคลผู้ประทุษร้ายต่อบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ย่อมถึงความพินาศฉิบหายด้วยเหตุ ๑๐ ประการ

“ผู้ใด ประทุษร้ายในท่านผู้ไม่ประทุษร้ายทั้งหลาย ผู้ไม่มีอาชญา ด้วยอาชญา ย่อมถึงฐานะ ๑๐ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งพลันทีเดียว คือ 

ถึงเวทนากล้า ๑ 
ความเสื่อมทรัพย์ ๑ 
ความสลายแห่งสรีระ ๑
อาพาธหนัก ๑ 
ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑ 
ความขัดข้องแต่พระราชา ๑ 
การถูกกล่าวตู่อย่างร้ายแรง ๑ 
ความย่อยยับแห่งเครือญาติ ๑ 
ความเสียหายแห่งโภคะทั้งหลาย ๑ 
อีกอย่างหนึ่ง ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของเขา, 
ผู้นั้นมีปัญญาทราม เพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงนรก.”

ดังเรื่องของนันทยักษ์ตีศรีพระมหาเถระ



       นันทยักษ์ มีฤทธิ์เดชมาก วันหนึ่ง นันทยักษ์ได้เหาะเหินเดินอากาศมากับเหมตายักษ์ ผู้เป็นสหาย ครั้นผ่านมาถึงที่พระสารีบุตร สาวกของพระพุทธองค์กำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่ ทำให้อากาศธาตุในบริเวณนั้นว่างเปล่า ยักษ์สองสหายไม่สามารถเหาะผ่านไปได้ 

      นันทยักษ์ผู้มีนิสัยพาล ชาติก่อนก็อาฆาตผูกพยาบาทกับพระเถระไว้ จึงได้มาทำกรรมหนักต่อพระสารีบุตรด้วยสันดานพาล 

      เหมตายักษ์ ได้ทัดทาน แต่นันทยักษ์ก็ไม่ฟัง เหาะขึ้นกลางอากาศแล้วใช้กระบองซึ่งเป็นอาวุธประจำตน ฟาดลงมาหมายเศียรของพระสารีบุตร แต่พระสารีบุตรซึ่งอยู่ในสมาธิหาเป็นอันตรายอย่างใดไม่ ยิ่งทำให้นันทยักษ์เกิดเร่าร้อนในอารมณ์ ตะโกนก้องไปทั่วทิศว่า “เราร้อน....เราร้อน” 

      ทันใดก็ตกลงมาจากอากาศ พลันแผ่นดินก็เปิด สูบเอานันทยักษ์ลงขุมนรกอเวจี

       ส่วนในปัจจุบันจะเห็นว่ามีบุคคลบางพวกออกมาบริภาษด่าว่าพระภิกษุผู้มีศีลธรรม ก็จัดเป็นกรรมหนักเช่นกัน ดังเรื่อง ปลาทองปากเหม็น เคยเป็นภิกษุชื่อกปิละ เป็นพหูสูตร มีบริวารมาก ในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง พระนามว่ากัสสปะ 

      แต่ถูกความทะยานอยากในลาภครอบงำ แล้วด่าบริภาษพวกภิกษุผู้ที่ไม่เชื่อคำของตน ทำให้พระศาสนาเสื่อมลง จึงไปเกิดในอเวจีนรก แล้วก็มาเกิดเป็นปลา แต่ด้วยเหตุที่ภิกษุกปิละได้บอกพระพุทธวจนะกล่าวสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าสิ้นกาลนาน จึงได้อัตตภาพ มีสีเหลือง เหมือนทองคำ แต่ด้วยกรรมที่ได้ด่าบริภาษภิกษุ ผู้มีศีลทั้งหลายทั้งหลาย ส่งผลให้มีกลิ่นเหม็นฟุ้งออกจากปาก
ลิงค์ https://www.facebook.com/dmc072/videos/10152249574718381/

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2559

สวดมนต์กับนั่งสมาธิ อย่างไหนที่ควรทำมากกว่า ???

คุณรู้หรือไม่ ??? 
ระหว่างสวดมนต์กับนั่งสมาธิ ได้ผลดีต่างกันอย่างไร?


*ผลการวิจัยโดย K. Kijsarun Chanpo 

  ได้ทำการทดลองกับนิสิตจุฬา ฯ จำนวน 60 คน
โดยให้สวดมนต์ 30 คน และทำสมาธิ 30 คน ชาย-หญิงอย่างละ 15 คน และทำการวัดคลื่นสมองทีละคนในขณะสวดมนต์ 30 นาที และผู้ทำสมาธิ 30 นาที



   บันทึกการทำงานของสมองตลอดระยะเวลา 30 นาที 
 ผลปรากฎ ว่าทั้ง 30 คนในการสวดมนต์ทีละคน ได้ผลเหมือนกัน คือนาทีที่ 0-5 นาทีแรกจิตยังซัดส่าย 

 พอนาทีที่ 5-10,10-15,15-20,20-25,25-30 คลื่นสมองจะบอกถึงการดิ่งของจิตที่สงบจนจบต่อเนื่องถึงหลังการทดลองอีกระยะหนึ่ง. 

สุดยอดไหม !

    ส่วนการทำสมาธิจะได้ผลดีที่สุดอยู่ที่ นาทีที่ 0-5 
 พอเข้านาทีที่ 5-10,10-15,15-20 ... จบจนการทดลองจิตจะซัดส่าย คลื่นสมองจะไม่นิ่ง อันเนื่องจากมีนิวรณ์ 5 เข้ามาเป็นเครื่องกั้นการทำงานของจิตต่อการทำสมาธิ 



  ดังนั้นจิตที่ยังมีนิวรณ์ 5 อยู่เช่นนี้ย่อมจะไม่สามารถเป็นสมาธิได้ ต้องฝึกเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอจะสามารถกำจัดนิวรณ์ได้.

   ซึ่งการทดลองนี้สอดคล้องกับมาตรฐานสัญญาณคลื่นสมองอัลฟ่าผ่อนคลายเมื่อหลับตาลง ซึ่งเป็นช่วงที่ดีที่สุดในระยะแรก

  ฉะนั้นทำให้เรารู้ว่าการสวดมนต์ก่อนทำสมาธิจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจิตเราจะจดจ่อกับ บทสวดมนต์อยู่ตลอดเวลา 

 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองอัลฟ่าเกิดขึ้น และคงอยู่ได้อย่างต่อเนื่องจนหลังการ ทดลองอีก 5 นาที. 


 ซึ่งจะเป็นช่วงที่เข้าสู่ การทำสมาธิ ได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อฝึกบ่อย ๆ นิวรณ์5 ก็จะหมดไป*

   ร่วมกันอนุโมทนาบุญกับผลงานวิจัยครั้งนี้ ซึ่งสามารถแนะนำคนที่ยังไม่เคยทำ ได้ทดลองปฏิบัติดู ขออนุโมทนา 

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

"...หากวันนี้ทุกข์มากมาย..."

ลองใคร่ครวญดูใจเรา มีความอยากสิ่งใดอยู่ไหม???
คนบางคนอยากเป็นที่รัก...ไม่ได้เป็นก็ทุกข์
คนบางคนอยากร่ำรวยมีหน้ามีตา...ไม่ได้เป็นก็ทุกข์

คนบางคนอยากอยู่กับความสงบ...ไม่ได้เป็นก็ทุกข์
หรือบางครั้งอยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นดังใจ
เมื่อไม่สมหวัง...ความทุกข์ก็เกิดขึ้นมาในใจ

บางครั้งหรืออาจทุกเวลา
เราคงต้องปล่อยวาง...
และทำความรู้จักเท่าทันความอยากที่เกิดขึ้นในใจ
ถ้าปล่อยใจไปตามความอยาก
อิสระของใจจะหาเจอได้เช่นไร
เราต้องทำตามความอยากอยู่ร่ำไปหรือ

อาจมีหลายคนบอกว่าอยู่กับโลกก็ตามโลก
ซึ่งจริงๆ...ถ้าเราตามโลกอยู่ร่ำไป
วันหนึ่ง...เราอาจตกอยู่ในกระแสโลกจริงๆ
และหลงลืมใจที่แท้จริงของตนเองไป...^^'

เอาใจของเรากลับมาอยู่กับปัจุบันดีกว่า
อย่าให้เป็นดังคำบังเพยที่ว่า.. "จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว" 
ดังนั้นเราอย่าเผลอใจไป ขอให้ใจเรากลับมาอยู่กับตัวเราตลอดเวลา...

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559